บทความแนะนำ

บทความ ศาสตร์แห่งดวงดาว
หลักการวางเบอร์ขั้นพื้นฐานด้วย "ดาราลัคน์ศาสตร์"
วิธีการคำนวณกำลังดวงดาว
เบอร์มงคล 100% ผลรวมดี ทั้งคู่ ทำไมคนหนึ่งชีวิตดีแต่อีกคนชีวิตแย่?!?!?
ตัวเลขส่งเสริมการเงินและโชคลาภ
กลุ่มส่งเสริมการเงิน ตัวเลขมหาอุจจ์
กลุ่มส่งเเสริมการเงิน มหาจักร
กลุ่มส่งเเสริมการเงินราชาโชค
กลุ่มแสดงถึงความมั่นคงทางการเงินและรายได้
ตัวเลข ปัญหา/อุปสรรค/ศัตรู
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ความรัก และ คู่ครอง
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ลูกค้าและเพื่อนฝูง
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ผู้อุปถัมภ์ ความสำเร็จ และ ความรุ่งเรือง
ตัวเลข วินาสน์ (ล่มสลาย,ฉับพลัน,เปลี่ยนแปลง,ที่ลับ,คนแปลกหน้า)
ประสบการณ์ผู้ที่ใช้เบอร์พลังดวงดาวตามลัคนา และมีเงินซื้อรถ 2 คัน บ้าน 2 หลัง
Case Study : เปลี่ยนเบอร์ตามหลักศาสตร์แห่งดวงดาวแล้วขายที่ดินได้ในราคาสูง
แย่แล้ว !!! เบอร์มังกร (789) ทำฉันเป็นหนี้ !!!!
ว่าไงนะ!!! เบอร์หงส์ (289) พ่นพิษ !!! เสียบ้านที่อุตส่าห์ซื้อมา
เบอร์เสน่ห์ตามหลักเลขศาสตร์ VS เลขการเงินตามศาสตร์แห่งดวงดาว
กำลังดวงดาว 9 หมายถึงอะไร?
เบอร์มงคล 10 หลัก ผลรวมดี ทำไมชีวิตฉันจึงลำบาก!!!

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คาถาขอทรัพย์พญานาคราช สำหรับลูกหลานพญานาค




คาถาบูชา ปู่นาคาธิบดีศรีสุทโธ

*****  นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) ******

กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา ปูเชมิ 
ทุติยัมปิ กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา ปูเชมิ
ตะติยัมปิ กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา ปูเชมิ 
เมตตัญจะ จะมหาลาโภ ปิโยนาคะ ขันธปริตตัง. .


คาถาบูชา เจ้าย่านางพญานาคิณี ศรีปทุมมา (คู่บารมีของปู่ปู่นาคาธิบดีศรีสุทโธ) 

***** นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) *****

กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณี ศรีปทุมมา วิสุทธิเทวี ปูเชมิ 
ทุติยัมปิ กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณี ศรีปทุมมา วิสุทธิเทวา ปูเชมิ
ตะติยัมปิ กายะวาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณี ศรีปทุมมา วิสุทธิเทวา ปูเชมิ 
เมตตัญจะ จะมหาลาโภ ปิโยนาคะ ขันธปริตตัง..



คาถาขอทรัพย์นี้เป็นคาถาขอทรัพย์ต่อ ท่านปู่พญานาคศรีสุทโธ ผู้ปกครองพญานาคในเขตประเทศไทย
ผู้ที่ขอทรัพย์นั้น จะต้องขอด้วยความเคารพ ซึ่งขั้นตอนจะต้องถือศีล 8 และรักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์ตลอด 7 วัน และอุทิศบุญทั้งหมดให้ท่าน...สำหรับการขอนั้นให้ขอให้ได้ผ่านการงานที่ตนทำด้วยความขยันและเป็นสัมมาอาชีพ (ขอให้รวยจากหวยเนี่ยไม่ได้นะ)...
สำหรับผู้ที่ต้องการสวดทุกคืน ก็ขอให้สวดด้วยความเคารพท่าน...และต้องรักษาศีล 5 ให้ดี...และความเจริญรุ่งเรืองจึงจะมีต่อท่าน...

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับการไหว้เจ้าที่ให้ถูกต้องเพื่อลดอุปสรรคและเสริมโชคลาภ

เคล็ดลับที่ว่านี้มาจาก พระครูวิสารสรจักษ์ หรือ หลวงปู่เงิน กตสาโร วัดเกาะแก้ว ผู้ประสาทเคล็ดนี้ให้แก่ท่านที่ประสพปัญหา ชีวิตไม่ราบรื่น มีอุปสรรค หรือว่าคนในบ้านเจ็บป่วยบ่อย หรือประสบอุบัติเหตุ บ่อยๆ นั้น อาจเป็นเพราะเราอาจจะไมได้ตั้งใจไปทำสิ่งใดที่อาจจะไม่ถูกใจเจ้าที่หรือผี บ้านผีเรือน หรือบางทีเราไม่ทราบว่าบ้านเรานั้นก่อนจะมาเป็นของเรามีสิ่งใดหรือมีอะไร อัปมงคลมาก่อน วิธีแก้ร้ายให้กลับคืนเป็นดี

ในตอนเช้าให้เตรียมการไหว้พระภูมิเจ้าที่ ศาลตายายในบ้านแบบง่ายๆคือ ดังนี้

1.ส้ม 4 ผล เป็นมงคล(ห้ามส้มโอ หรือส้มโอมือ)
2.ข้าวปลาอาหารที่ปรุงแล้วตามอัธยาศัย
3.ขนม หวานจะเป็นจับกิมทึ้งแบบจีน หรือ ขนมหวานแบบไทย จำพวกทองต่างๆๆก็ได้ และต้องมีขนมน้ำดอกไม้ด้วย(หลวงปู่บอกว่าเป็นเคล็ดในการขอขมาแบบว่าในปีๆๆ หนึ่งเราอาจเคยล่วงเกินเจ้าที่เจ้าทางขนมน้ำดอกไม้เป็นเครื่องแสดงการขอขมา)
4.พวงมาลัย จะเป็นดาวเรือง หรือเจ็ดสีเจ็ดศอกก็ได้ตามฐานานุรูป
5.ธูป


เสริมดวงด้วยการไหว้เจ้าที่



โดยการนำเครื่องไหว้ไปวางหน้าศาล พระภูมิ ศาลตายายแล้วจุดธูป สวดพระมนต์ขอขมาดังนี้


*** ตั้งนโม 3 จบ ***

"อิติสุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"

จุดธูปบอกเจ้าที่อธิษฐานว่าวันนี้ลูกจะทำความสะอาดบ้าน สิ่งใดที่ลูกเคยล่วงเกินพระภูมิเจ้าที่ คุณตาคุณยายก็ขอโทษ สิ่งใดไม่ดีก็ขอให้ไปกับสิ่งสกปรกที่จะทำความสะอาดวันนี้ด้วยเถิด

แล้วอธิษฐานขอพรตามปรารถนาจากนั้นปักธูป เสร็จแล้วพอธูปหมดดอกจึงเริ่มทำความสะอาดบ้าน

โดยให้ทำตามเคล็ดเป็นลำดับดังนี้คือ

ให้ทำความสะอาด ฝาบ้าน เพดาน ตามซอกตามมุม แล้ว เอาฝุ่นละอองมารวมกองไว้ที่เดียว แล้วห่อด้วยผ้าขาวให้มิดชิด นำห่อผ้าขาว ไปทิ้งที่บริเวณถังขยะในวัดใดวัดหนึ่ง ทิ้งแล้วห้ามเหลียวหลังดูเป็นอันขาด เป็นการเหมือนกับเอาสิ่งอัปมงคลออกไปจากบ้าน

ฉะนั้นห้ามหันไปดูเป็นอันขาดจาก นั้นให้เอาน้ำพระพุทธมนต์หน้าพระประธานในบ้าน(ถ้ามี) หรือไปขอน้ำพระพุทธมนต์ตามวัดที่ดังๆ เช่น วัดสุทัศน์ วัดสระเกส วัดอินทรวิหารเป็นต้น หรือ ขอมาจากพระสงฆ์ ที่เรานับถือพรมตามเพดาน ฝาบ้าน และบริเวณบ้านให้ทั่ว ระหว่างพรมให้ตั้งจิตคิดแต่สิ่งดีดีที่เป็นมงคล ห้ามทุกคนในบ้านด่าหรือพูดคำอัปมงคลใส่กัน

เสร็จแล้วในรุ่งเช้าของอีก วันให้ตักบาตร หรือทำสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลให้แก่พระภูมิเจ้าที่ เจ้าทางผีบ้านผีเรือน โดยเฉพาะ เพื่อเป็นเคล็ดให้ท่านเฝ้าปกป้องคุ้มภัยให้เราครับหมายเหตุ หลวงปู่เงิน กตสาโร ท่านว่าการไหว้พระภูมิเจ้าที่แบบนี้อธิษฐานสิ่งใดภูมิเทวดาท่านจะอนุเคราะห์ สุดความสามารถและ เจ้ากรรมนานเวรได้ยินจะยอมอโหสิกรรมให้ จึงทำแล้วดีทางเมตตาและคุ้มครองภัยในบ้านจะหมดทุกข์หมดโศก โรคภัยไข้เจ็บจะหาย ครอบครัวเป็นสุข เทวดาคุ้มครอง...



ที่มา : เคล็ดทำความสะอาดบ้านเพื่อชีวิตมีสุข(ตำรับหลวงปู่เงิน กตสาโร)

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีดึงดูดความร่ำรวย

มิถุนายน 29, 2013 โดย ธ. ธรรมรักษ์

เตรียมตัวร่ำรวยตลอดกาล

ก่อนที่จะพาไปรู้จักเคล็ดบูชาสำคัญ  ที่จะทำให้คุณทุกคนนั้นร่ำรวยได้ จะขอพูดถึงเรื่องสำคัญที่สุดเป็นเรื่องแรก ที่บอกว่าสำคัญที่สุดนั้นหมายความว่า ถ้าคุณไม่ผ่านเรื่องนี้หรือด่านนี้ไปก่อน
วิธีดึงดูดความร่ำรวย

 " บอกได้เลยว่า รวยยากครับ! "


วิธีที่จะดึงดูดความร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมาหาตัวเรานั้น สิ่งที่สำคัญเราต้องเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติดีพร้อมที่จะรับเสียก่อน เราถึงจะรับความร่ำรวยนั้นได้

จะเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ ก็เหมือน ตัวเรานั้นเป็นเครื่องรับโทรทัศน์ การรับคลื่นสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์ได้ เราต้องปรับคลื่นความถี่ให้ตรงกันเสียก่อนถึงจะรับคลื่นนั้นได้

หากตัวเรานั้นมีกำลังคลื่นต่ำ หรือมีกำลังน้อย เราก็ไม่สามารถรับคลื่นเปลี่ยนมาเป็นภาพได้ แบบรับคลื่นได้แต่นำเอามาใช้ไม่ได้ รับเอามาใช้ได้แบบน้อยมากๆ ภาพที่ออกมามันจึงเบลอดูไม่รู้เรื่อง แบบมีคลื่นอื่นรบกวน

ก็เหมือนกับการที่เราจะปลูกบ้านสักหลัง สิ่งที่สำคัญคือ พื้นดินและฐานรากที่มั่นคง ที่มีการเตรียมการณ์อย่างรอบคอบและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในบางคนรู้แต่ทำไม่ได้ เหมือนกับพลังแห่งความร่ำรวย ความโชคดี ความสุขที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเรา อยู่ใกล้ชิดแค่ปลายจมูกเราแท้ๆ แต่เราก็หยิบมาสู่ตนเองไม่ได้ เพราะเราไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ

ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ในอดีต ท่านรู้เรื่องนี้ดี จึงได้สั่งสอนเอาไว้ วิธีที่จะเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติที่จะรับความร่ำรวยได้แบบตลอดกาลมีวิธีการดังนี้


1.สร้างบุญใหม่ให้พอ

เชื่อว่าเราคงเคยได้ยิน คำว่า คนบุญน้อย คนไม่มีบุญ ถึงไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเสียที เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอนตามกฎแห่งกรรม ก็ในเมื่อไม่เคยทำกรรมดีสะสมบุญมา แล้วจะเอาบุญที่ไหนมาทำให้ชีวิตมีความสุขได้ จะเอาบุญจากไหนมาทำให้ร่ำรวยได้ หรือเอาบุญมาช่วยแก้วิบากกรรมที่กำลังเผชิญอยู่ได้ให้คลายตัวลงไป

ทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเหตุและเป็นผลกันเสมอ เมื่อเราหว่านสิ่งใดลงไป เราก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ปลูกอ้อยก็ต้องได้อ้อย จะออกมาเป็นกล้วยนั้นเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เคยทำทาน ไม่เคยทำบุญไม่เคยที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่เคยมีเมตตา กรุณา แล้วจะเอาอะไรมาทำให้รวยได้ มันไม่มีทางเลย

บุญ คือ ต้นกำเนิดของความสุข ความเจริญ

คนทำบุญมามากนั้น จะมีกระแสบุญที่ทำอยู่นั้น จะหมุนเวียนอยู่รอบตัวรอส่งผลให้แก่ผุ้กระทำความดีนั้น อานิสงส์บุญนั้นไม่ได้หายไปไหนไม่ว่าจะทำมาตั้งแต่เมื่อใด เมื่อ 2 ปี ก่อน 10 ปี 30 ปีก่อน บุญยังอยู่ครบถ้วนทั้งสิ้น แต่จะออกผลออกดอกเมื่อใดนั้น อยู่ที่กรรมกำหนดด้วย

เราคงเคยได้ยินเรื่องคนจนที่ถูกหวยรางวัลใหญ่ ที่มีชีวิตที่ยากจนแสนจนแต่ทำไมถึงถูกรางวัลที่หนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาต้องเคยสร้างบุญใหญ่มาก่อนในอดีตชาติแน่นอน แต่ที่เขาเกิดมายากจน ก็เป็นเพราะนอกจากบุญที่เขามีแล้ว เขายังเคยสร้างกรรมที่ไม่ดีหรือความชั่วไว้ด้วย

พอมาในชาตินี้ เมื่อกรรมเก่าได้รับการชดใช้จนลดขนาดลงในการส่งผลในชีวิต ก็เป็นคราวของบุญที่ออกมาแสดงผล ประจวบกับในชาตินี้เขาเพียรสร้างกรรมดีเป็นบุญใหม่ เมื่อบุญเก่ากับบุญใหม่มารวมกัน ก็ได้เรื่อง ผลก็คือ รวยกันเละเทะครับ

แต่ในบางคนการถูกหวยนั้นนำมาด้วยความทุกข์ ต้องหลบต้องซ่อนเพราะมีคนตามมาขอเงินกันวุ่นวาย เรียกว่าเป็น ทุกขลาภ เป็นบุญที่มีวิบากกรมไม่ดีมาส่งผล พร้อมๆ กัน มีกำลังเท่าๆ กัน แต่มีหลายคนที่ถูกหวยแล้วสบายไม่มีใครมาขอแบ่งเงินที่ได้มา เพราะเขามีบุญมากกว่าวิบากกรรมไม่ดี

คนที่จะรวยได้ จำไว้เลยว่าต้องมีทั้งบุญเก่าและบุญใหม่ในชาติ มารวมกัน เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่เกิดมายากจนแสนจนในตอนต้น แต่ไม่ยอมจำนนต่อกรรมเก่าคนแบบนี้มีพื้นฐานที่จะรวยได้ในเวลาอันใกล้

เพราะถึงจะรู้ว่ามีกรรมเก่ามาเล่นงาน แต่ก็ไม่ยอมงอมืองอเท้า รอกรรมเก่ามาเล่นงานฝ่ายเดียว เร่งเพียรสร้างบุญ สร้างความดีอย่างต่อเนื่อง บุญกุศลที่ทำไม่ได้หายไปไหนรอส่งผลอยู่เมื่อ กรรมเก่าคลายลง บุญที่เคยทำมาก็ออกดอกออกผล บั้นปลายเขาถึงร่ำรวยได้ จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด คนพวกนี้ในทางพระเขาเรียกว่า มามืดไปสว่าง

เพื่อความไม่ประมาทนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามสอนให้คนเร่งสร้างบุญของตัวเองให้มากพอ ด้วยการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา

การให้ทานนั้นมีอานิสงส์บุญน้อยกว่าการถือศีล และการถือศีลนั้นได้บุญน้อยกว่าการเจริญภาวนา ในศาสนาพุทธที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์พระศาสดานั้น ได้ทรงสั่งสอนสัตว์โลกไว้ว่า ในการสร้างบุญที่ถูกวิธีนั้น รวมเรียกว่า “ บุญกิริยาวัตถุ 10” ขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ  สั้นๆ ว่าใน 10 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง

1.ด้วยการบริจาคทาน
2.ด้วยการรักษาศีล
3.ด้วยการภาวนา
4.ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
5.ด้วยการช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ
6.ด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น
7.ด้วยความยินดีความดีของผู้อื่น
8.ด้วยการฟังธรรม
9.ด้วยการสั่งสอนธรรม
10. ด้วยการทำความเห็นให้ตรง

ทั้ง 10 ช่องทางนี้เป็นช่องทางแห่งบุญทั้งสิ้น ซึ่งมีโอกาสจะทำได้อยู่ตลอดเวลา มีเพียงข้อแรกข้อเดียวที่ต้องใช้เงินเพราะเป็นการบริจาคทาน เป็นการใช้วัตถุทาน ที่เหลืออีก 9 ข้อนั้นไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว

อยากจะขอแนะนำไว้สักนิดว่า ถ้าอยากจะรวยเร็วๆ ทำตัวเองให้มีบุญมากพอเสียก่อน เหมือนเปิดประตูชีวิตให้กว้างที่สุด เพื่อรองรับเงินทอง ความสุขในชีวิตที่จะไหลเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง

อยากรวยต้องเร่งทำบุญก่อนครับ ไม่มีเงินไม่ต้องกลัว พยายามทำตั้งแต่ข้อ 2-9 ให้ได้ รับรองว่าเตรียมตัวรวยกันได้เลยและยิ่งมีการให้วัตถุทานด้วยแล้วก็จะเร็วขึ้น

เพราะการให้นั้นเป็นหัวใจสำคัญแห่งความรวยจริงๆ  คนที่รู้จักการให้ ยิ่งให้จะยิ่งได้รับตอบแทน เป็นกฎแห่งกรรมและกฎแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เคล็ดลับที่สำคัญในการให้ทานนั้น มีอยู่แค่ 3 ประการที่ทุกคนทำได้ง่ายดายมาก คือ


วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ หมายถึง วัตถุหรือเงินที่ซื้อวัตถุทานนั้น เป็นเงินที่มาจากการทำงานที่สุจริต ไม่ไปเบียดเบียน กรรโชก คดโกงใครมา ยิ่งมาจากน้ำพักน้ำแรง จากความยากลำบากยิ่งจะมีอานิสงส์มากเพราะเจตนานั้นสูงมาก

วัตถุทานนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากที่จะได้บุญมากเสมอไป ขอให้เงินบริสุทธิ์ ที่มาของวัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ แม้เพียงสลึงเดียวก็ได้บุญมากกว่าเงิน 10 ล้านของนักการเมืองที่โกงประเทศชาติมาหรือพ่อค้าที่โกงคนอื่นมา

สำหรับการให้วัตถุทานนั้น มี 3 ประเภทและมีอานิสงส์แตกต่างกันที่เราควรรู้ไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น


ทาสทาน หมายความว่า การให้ของที่เลวกว่าที่เรากิน หรือของที่เลวกว่าที่เราใช้
สหายทาน หมายความว่า การให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่
สามีทาน หมายความว่า การให้ของที่ดีกว่าที่เรากินที่เราใช้อยู่

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องของทาสทาน การทำทานหรือให้ของที่เลวกว่าที่เรากิน หรือเราไม่ใช้แล้ว  ถึงจะมีอานิสงส์แต่ก็อยู่ในความลำบาก ในสมัยพุทธกาล ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ แปดสิบโกฏิ ถ้าเทียบในสมัยก็ประมาณเจ้าสัวใหญ่

พระราชาจึงตั้งเป็นมหาเศรษฐี ที่แปลว่า ใหญ่กว่าเศรษฐีทั้งปวง ทั้งนี้เป็นเพราะในอดีตชาติได้ทำทานไว้มาก แต่น่าเสียดายที่ทานที่แกทำมาตลอดนั้นเป็นของเลว เป็นของที่คัดออกมาแล้วว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากใช้ แกเอาไปทำทาน

ดังนั้นในชาติต่อมา อานิสงส์ของการทำทานนั้น ส่งผลทำให้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินทองมากมายก็จริง แต่ว่าขอโทษที ข้าวที่จะกินเม็ดสวยๆ ก็กินไม่ได้ ต้องกินข้าวหักหรือปลายข้าวจึงจะกินได้ กับข้าวต้องกินแต่ของที่เน่าเสียแล้ว หรือคนแทบกินไม่ได้

ของทุกอย่างที่แกใช้ทุกอย่างต้องเป็นของเลว ผ้าที่นุ่งก็ต้องนุ่งผ้าเก่า ใช้ผ้าใหม่ไม่ได้เลยเพราะมันคันไปหมดนอนไม่ได้ มีความเป็นอยู่ที่ลำบากมากถึงแม้จะมีเงินทองมากมาย

ในบ้านเรา ก็มีเศรษฐีที่ทำทานแต่ของเลวมากมาย ถ้าเราสังเกตดูดีๆ เมื่อไม่นานมานี้ ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีคนรวยคนหนึ่ง มีเงินนับเป็นร้อยๆ ล้าน แต่ชีวิตของแกนั้นเหมือนกับท่านอาฬวีเศรษฐีทุกประการ

มีเงินทองมากมายแต่เป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวมากๆ  ในเกือบทุกวัน คนรวยคนนี้ต้องกินข้าวต้มเม็ดเละๆ จากปลายข้าวที่เหลือจากการขายในร้าน เอามาต้มกินกับก้อนกรวดแช่เกลือ กินอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ไม่มีเงินนะ แต่ไม่ซื้อกิน เพราะใจมันมัวแต่คิดตะหนี่ขี้เหนียว ใจมันเสียดายอยู่ตลอดเวลา ทำให้แกเป็นโรคร้าย เพราะชั่วชีวิตนี้ไม่เคยกินอาหารดีๆ กับเขาเลย

เวลาแกเจ็บป่วยไปนอนโรงพยาบาล ลูกก็อยากให้พ่อได้กินผลไม้ดีๆ ไปซื้อมังคุดกิโลละ 30 บาทมาให้กิน คนรวยคนนี้แม้จะนอนเจ็บพูดแทบไม่ได้ แต่พอแกพอเห็นมังคุดที่ลูกเดินถือเข้ามาเท่านั้น

แกโกรธลูกมาก เหมือนลูกไปทำความผิดอะไรมาใหญ่โต แกด่าเสียเละเทะเลยว่า ไปซื้อมาทำไม เปลืองเงิน ด่าลูกจนลูกร้องไห้ แกด่าว่าโง่เหมือนควายใช้เงินไม่เป็นทั้งๆ ที่ลูกนั้นตั้งใจดีเห็นพ่อป่วย อยากจะซื้อผลไม้ดีๆ มาปอกให้พ่อได้กินชื่นใจ

คนรวยแบบนี้มีเงินมากก็จริง แต่ทั้งชีวิตไม่ได้รับสิ่งดีๆ เลย มีเงินเหมือนมีเศษกระดาษ มีทองเหมือนเป็นก้อนหิน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทาสทาน คือ แกเคยทำทานด้วยของไม่ดีมาก่อนนั่นเอง

ดังนั้นจะขอแนะนำว่าเวลาที่จะทานควรพิจารณาในเรื่องนี้ด้วยว่า เราให้ของที่ดีที่สุด ประณีตเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้นหรือไม่

ผู้ให้บริสุทธิ์ หมายถึง คนที่ให้มีเจตนาบริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังการให้ ไม่คิดหวังผลตอบแทน ประเภททำบุญสิบบาทหวังถูกหวย 10 ล้าน ก็จะยากสักหน่อย เพราะหวังผลตอบแทน กิเลสตรงนั้นที่เกิดขึ้นจะเป็นลดทอนบุญที่ควรจะได้ลงไป เป็นอุปสรรคมาขวางทางบุญไว้

ที่บอกว่าเวลาที่ทำบุญแล้วควรทำใจให้สบาย ทั้งก่อนให้ทานนั้น หมายความว่า เรามีความตั้งใจที่จะทำบุญ เพื่อเผื่อแผ่ผู้อื่นให้มีความสุข เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นหลักชัยในการสั่งสอนคนให้ดี

กำลังให้ทานนั้น ใจของเราต้องไม่คิดอะไรไปวุ่นวาย บางคนกำลังให้ทาน จะชอบคิดสงสัยหรือวิตกว่า ของที่เรากำลังให้นั้นสมควรที่ผู้รับจะได้ไปหรือไม่ คิดว่าเขาจะเอาไปทำอะไร คิดมากจนจิตมันส่าย แทนที่จะนิ่งเพื่อให้ทานนั้นสำเร็จ เกิดบุญ กลับกลายเป็นว่าไปลดทอนกำลังบุญเสีย

และหลังการให้ทาน ไม่ควรเสียดาย หรือมีใจคิดฟุ้งซ่านไปอีก ประเภท ของที่เราให้ไปเมื่อตะกี้จะถึงวัด เขารับไปแล้วจะถึงวัตถุประสงค์ของเราหรือไม่ อย่าไปคิดแบบนั้น เมื่อให้ไปแล้วก็จบกันไป ถือว่าให้ขาดไปเลย

การอธิษฐานหลังทำบุญนั้นก็สำคัญ ควรที่จะอธิษฐานไปในทางดี เพื่อให้เรามีความสุข ความขัดข้องอุปสรรคต่างๆ  ความไม่มี ความขัดสน อย่าเกิดในชีวิตก็พอ อย่าไปอธิษฐานแบบมีข้อแม้แบบขอไปด้วยในตัว

ประเภทว่า ขอให้บุญนี้ส่งผลให้ถูกหวย ส่งผลให้สอบได้ ส่งผลให้ขายนั่นขายนี่ได้ เจาะจงลงไปอย่างนั้นอย่างโน่น ตกลงเรามาทำบุญเพื่อละกิเลส สร้างกำลังใจที่จะเพียรทำความดี หรือมาทำบุญเพื่อการลงทุนกันเพื่ออะไรกันแน่

ขอแนะนำว่า ขอให้เพียรทำความดี ให้ทานโดยไม่หยุดยั้งเท่าที่เราจะทำได้  เมื่อถึงเวลาบุญจะทำหน้าที่ตามเหตุและปัจจัย บุญนั้นจะส่งผลให้เราอัศจรรย์ใจแน่นอน มีตัวอย่างมามากมาย


ผู้รับนั้นบริสุทธิ์ คือ ผู้รับนั้นยิ่งมีศีล เป็นคนดี บริสุทธิ์ มีความชอบธรรมมากเท่าใด บุญที่เราให้ก็จะเกิดผลมากขึ้นเท่านั้น ผู้รับที่บริสุทธิ์มาก เรียกว่า เป็นคนที่มีเนื้อนาบุญสูง สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับ สำคัญที่จะทำให้เรามีความสุข ความเจริญ นำความร่ำรวยมาสู่ชีวิตได้ แบบยิ่งทำยิ่งรวยแน่นอน

ขอให้พึงสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง คนรวยนั้นทำไมมักชอบทำบุญกับพระผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพกราบไหว้มากมาย  ก็เพราะเขารู้ว่า ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ที่มีเนื้อนาบุญสูง พระผู้ใหญ่เหล่านี้เมื่อรับทานมาแล้ว ท่านจะรีบไปสร้างบุญต่อ ทั้งสร้างโรงพยาบาล สร้างวัด หรือสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ สงเคราะห์คนหมู่มาก บุญนั้นก็ออกดอก ออกผลมากขึ้น

และผู้ที่ทำทานก็จะได้บุญมากขึ้นๆ เพราะ ทุกคนที่มาใช้บริการนั้น เขาจะรู้สึกขอบคุณ มีการโมทนาบุญนั้นตลอดเวลา จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้านไม่รู้จบ ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า บุญงอกออกมา

หลายคนบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านไหนมีเนื้อนาบุญสูง ท่านไหนบริสุทธิ์แค่ไหน ขอให้ดูที่วัตรปฏิบัติของท่านเป็นสำคัญ หรือถ้าไม่รู้ หรือไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญกับท่าน แต่อยากได้บุญมากมีวิธีแบบง่ายๆ แต่ได้ผลเลิศ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า  "เวลาที่เราใส่บาตร ทำสังฆทานหรือทำบุญด้วยวิธีใดนั้น ขอให้อธิษฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าไปเลย พระสงฆ์ที่ท่านกำลังรับนั้น ท่านเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ เราทำบุญกับพระพุทธเจ้าโดยตรง อานิสงส์ของบุญนั้นจะมากมายขนาดไหน ลองนึกเอา"

นอกจากตัวเราเองเป็นผู้ทำบุญแล้ว การที่เราเป็นผู้ที่ชอบชักชวนผู้อื่นให้ทำบุญนั้น ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้มีบุญมาก และร่ำรวยมากขึ้นได้เพราะการชักชวนผู้อื่น กลายเป็นเครือข่ายของกัลยณามิตร ที่จะช่วยส่งเสริมกันและกันในทางดีทุกวิธีทาง

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนไว้ ในเรื่องของการทำบุญไว้ว่า

“บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไปจะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวารสมบัติ

ถ้าดีแต่ชักชวนเขาไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน

ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย”

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ลองพิจารณาดูก็ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ลองสังเกตคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราว่าเป็นอย่างที่พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสเอาไว้หรือไม่

ประเภทรวย แต่ไม่มีเพื่อนเคยเห็น เคยได้ยินได้เห็นมาหรือไม่

ประเภทเพื่อนเยอะ แต่จนแสนจน มีหรือไม่

ประเภททั้งรวย ทั้งมีเพื่อนมากมาย ทำอะไรทีก็มีคนมาช่วย เพราะรู้จักคนเยอะ

ในบรรทัดสุดท้ายนั้นสำคัญมาก ขอให้เราลองมาพิจารณากันดู ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย เรื่องนี้นั้นสำคัญมาก เพราะสายใยแห่งบุญที่เชื่อมคนที่ทำบุญร่วมกันมานั้น จะทำให้การทำงานใดๆ การค้าขายใดๆ นั้นสำเร็จได้โดยง่าย เพราะมีบุญกลุ่มหนุนนำอยู่

เปรียบเหมือนกับกระแสน้ำ ถ้าไหลมาจากที่เดียวนั้น อาจจะมีพลังน้อย แต่ถ้าไหลมาจากหลายสายรวมกัน ก็จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครต้านทานได้ วิบากกรรมไม่ดีที่มีกำลังน้อยกว่า ไม่มีทางต้านได้เลย เมื่อไม่มีอุปสรรคขัดขวาง งานที่ทำนั้นก็เกิดผลดีได้ง่ายดาย

ในบริษัทใหญ่หรือองค์กรใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการทำมาค้าขายนั้น ขอให้สังเกตกันเถอะว่า คนในบริษัทนี้ชอบทำบุญกันทั้งนั้น เวลาไปทำบุญกันทีจะไปหรือทำกันเป็นหมู่คณะ บุญที่ได้จึงเป็นบุญกลุ่มที่ใหญ่และส่งผลได้มาก อานิสงส์บุญนั้นเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ทำให้บริษัทหรือองค์กรนั้น เจริญขึ้นแบบรวดเร็ว รวยเอาๆๆ

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า เราควรสร้างบุญอย่างใดดี ก็เร่งพิจารณาเอาเองว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวย มีความสุข มีพวกพ้องมากมาย ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตนนั้นปรารถนา ควรทำบุญด้วยของที่ดี ทำทานให้ครบทั้ง 3 ประการและชักชวนคนอื่นมาร่วมสร้างบุญด้วยกัน

อยากจะเป็นคนที่มีความสุขและร่ำรวยตลอดกาล ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน  เป็นคนดี หมั่นสร้างบุญกุศล เรื่องของกรรมเก่า ชาติเก่านั้นเราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้าง และจะต้องไปตามแก้กันอย่างไร

ซึ่งที่จริงแล้ว กรรมนั้นแก้ไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วต้องส่งผลแน่นอน ที่บอกกันว่าไปแก้กรรมนั้น เป็นเรื่องเข้าใจกันผิดๆ และเป็นการเล่นคำที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

ขอให้เข้าใจด้วยว่า ที่บอกว่าแก้กรรมได้ ในความเป็นจริงก็คือ การไปขออโหสิกรรมเพื่อให้กรรมนั้นยุติการส่งผลหรือเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา  เมื่อเจ้าหนี้หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจได้รับการชดใช้หรือใจดี เพราะเห็นเราสำนึกผิด ทำความดี ทำบุญไปให้เขา เขาก็ยกโทษหรือลดโทษให้

แต่ยังคงได้รับเศษเวรเศษกรรมอยู่ดี จากที่น่าจะตายก็เหลือเพียงแขนหัก ขาหัก น่าจะไฟไหม้หมดตัว ก็เหลือเพียงไหม้แค่ห้องครัว น่าจะต้องสูญเสียคนที่รัก ก้เหลือเพียงเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

กรรมบางกรรมที่ไม่ใช่กรรมหนักนั้น ชาตินี้อาจจะไม่ส่งผลเลยก็ได้ ที่ไม่ส่งผลนั้นในชาตินี้ มีหลายสาเหตุ แต่ที่แน่ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า บุญใหม่ที่เราทำในชาตินี้ มีอานิสงส์ มีกำลังมากกว่า ทำให้วิบากกรรมเก่าที่ไม่ดีส่งผลไม่ได้หรือที่เรียกว่า สร้างบุญใหม่หนีกรรมเก่านั่นแหละ

ขอให้คิดว่า ชาติเก่าเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เราไม่รับรู้แล้ว มันจบไปแล้วไปแก้ไขอะไรไม่ให้มันเกิดไม่ได้แล้ว   เอาชาตินี้ ชาติที่เห็นกันชัดๆ ดีกว่า อย่ายอมจำนนต่อกรรมเก่า เร่งสร้างกรรมดี สร้างบุญ ให้ส่งผลให้เห็นกันเลยในชาตินี้ จงจำไว้เสมอว่า


คนมีบุญเท่านั้นที่จะรวยได้เท่านั้น 
ที่มา : https://torthammarak.wordpress.com/2013/06/29/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

10 วิธีสวดมนต์ ที่ทำแล้วชีวิตจึงดี มีสุข (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)


1. ก่อนสวดให้เลือกเวลาและสถานที่ที่จะมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด เช่น ห้องนอนของตัวเองในเวลาก่อนนอน, ห้องนอนของตัวเองในเวลาตื่นนอน ไม่จำเป็นต้องไปถึงวัดก็ได้ “เพราะการทำดี ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเลือก ไม่ต้องรอ”

2. เคลียร์ความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่งที่สุด อะไรที่ทำให้คิดมาก จิตตก รู้สึกแย่ อาฆาตพยาบาท โกรธเคือง โยนทิ้งออกไปก่อนชั่วคราว “การสวดมนต์เพื่อหวังจะลบความรู้สึกแย่ในใจ ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น” เพราะมันจะเหมือนกับเศษตะกอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้เติมน้ำที่กลั่นมาใสสะอาดเท่าไหร่มันก็ยังขุ่นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่พร้อมจะสวดจริง ๆ อย่าเพิ่งสวด

3. ความยาวของคาถาไม่ได้การันตีว่าชีวิตจะดีขึ้นจริง ๆ เอาแค่เซตคาถาที่พอจูนสมาธิให้กับตัวเองได้สัก 3-5 นาทีเป็นอย่างต่ำ เช่น สวดอะระหังสัมมาฯ+คาถาชินบัญชร, สวดอะระหังสัมมาฯ+อิติปิโสฯ+พาหุงฯ+ชินบัญชร สุดแท้แต่ที่จะเลือกมาสวด คาถาไหนก็ได้ความหมายที่ดีทั้งนั้น

4. ต่อให้คาถานั้นมีความหมายถึงลาภยศสรรเสริญอยู่จริง “อย่าโฟกัสให้จิตจ้องลาภ” เพราะนั่นเท่ากับว่าเราหมกมุ่นยึดติดกับเงินทองมากเกินไป ควรโฟกัสที่การใช้เวลาสวดไปเพื่อการจูนสมาธิและจิต ให้ว่างเปล่า บริสุทธิ์ พร้อมจะคิดอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ เพิ่มขึ้นมาได้ (คิดดี ทำดี เป็นรากฐานก็การได้รับสิ่งดี)

5. นั่งในท่าที่สบาย ขัดสมาธิก็ได้ พับเพียบก็ได้ แต่ก็ให้เป็นท่าที่สามารถอยู่นิ่งได้นาน ไม่ปวดทรมาน ไม่เหน็บชา จนต้องขยุกขยิกบ่อย ๆ ให้เสียสมาธิ

6. เคล็ดลับการนั่งสวดมนต์ (ไปจนถึงนั่งสมาธิ) นาน ๆ ก็คือ ควรนั่งให้หลังตรง ไม่ค่อมตัว ไม่แอ่นตัว เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่งพร้อมรับลมหายใจที่ไหลเวียนได้สะดวก (ออกซิเจนมีผลต่อระบบร่างกายเรา หากไม่ได้รับในปริมาณที่เพียงพอ เพียงแค่เรานั่งผิดองศา เราจะง่วงซึม ปวดเมื่อย รู้สึกมึน)

7. ผลพลอยได้จากการนั่งหลังตรง ไม่เพียงแต่สมาธิที่ดี แต่ยังได้บุคลิกภาพที่สง่างามด้วย

8. ในขณะที่สวดมนต์จะเปล่งออกเสียง หรือพูดแบบกระซิบก็ได้ “ขอให้ปากได้ขยับตามบทสวดแบบชัดถ้อยชัดคำ” อย่าบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์เหมือนเด็กหัดพูด เพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังสวดมนต์อยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันนี้ จิตไม่ได้ล่องลอยไปไหน (ในทางความเชื่อ การสวดให้ชัดถ้อยชัดคำ ก็เพื่อให้พระท่านรับรู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารอะไร ท่านจะได้ประทานพรได้ถูก แต่ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยา เสียงที่เปล่งออกมา ปากที่ขยับ มันคือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันที่สุด)

9. สวดมนต์แล้วอย่าลืมนั่งสมาธิเพื่อภาวนา แผ่เมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และสิ่งที่มองไม่เห็น ใครหรืออะไรก็ตามที่มีผลต่อชีวิตเรา ทั้งในด้านดีและด้านร้าย ทั้งในด้านที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู ขอให้พยายามนึกเรื่อย ๆ … กล่าวขอบคุณ, ขอโทษ และให้อภัยพวกเขาในขณะที่หลับตา (ในทางพุทธศาสนา คือ การนึกถึงเรื่องเวรกรรมบาปบุญ สร้างบุญให้กับตนเองและผู้อื่น แต่ในทางจิตวิทยา คือ การชำระจิตให้สะอาดกว่านี้ ไม่ให้รู้สึกว่าติดค้างอะไร แถมยังได้กำลังใจจากการนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ อีกด้วย)

10. หลังจากสวดมนต์จบแล้ว พยายามตัดนิสัยไม่ให้ตัวเองผิดศีล 5 ถ้าเป็นเวลานอน (สวดมนต์ก่อนนอน) สวดมนต์-นั่งสมาธิแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็รีบนอนเลย อย่าประวิงเวลาแม้กระทั่งเช็คเฟส เช็คไลน์แค่นาทีเดียว เพื่อให้นอนฝันดีที่สุดจากจิตที่เพิ่งชำระสะอาดมาหมาด ๆ

ถ้ายังต้องมีกิจกรรมอื่นหลังจากสวดมนต์-นั่งสมาธิจบแล้ว เช่น จะต้องออกไปทำงาน, ออกไปข้างนอก หรืออะไรก็ตาม ให้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ผิดศีล 5 เลยภายในกี่ชั่วโมงก็ว่ากันไปตามแต่สะดวก อาจพัฒนาจากไม่กี่ชั่วโมงเป็นทั้งวันได้ยิ่งดี (ในทางความเชื่อ ก็เหมือนกับว่าถ้าเราอยากจะได้สิ่งดี อยากให้พระท่านประทานพร เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็นก่อนว่าเราจะทำดีจริง ๆ โดยมีศีล5กำกับ แต่ถ้าในทางจิตวิทยามันก็คือการดัดนิสัยตัวเองให้ได้รับพลังบวกมาก ๆ จากการทำดี คิดดีให้มากนั่นเอง)

เลือกปฏิบัติกันได้แล้วแต่คุณจะสะดวก อาจจะไม่ทุกวัน แต่ขอให้สม่ำเสมอจนเป็นนิสัย … สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี ผลตอบแทนที่ดี เราเริ่มได้จากตัวเรา

ที่มา : share-si.

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

ทำไมสำหรับบางคนใช้เบอร์เสีย แต่กลับสร้างชีวิตได้?

ทำไมสำหรับบางคนใช้เบอร์เสีย แต่กลับสร้างชีวิตได้?...
คำถามนี้เคยเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ก่อนค้นพบ "จลนลัคน์ศาสตร์"...



ก่อนผมจะค้นพบ "จลนลัคน์ศาสตร์" นั้นผมก็มีความรู้สึกว่า...ทำไมบางคนไม่มีเลขที่ดีเลย มีแต่เลขเหนื่อยๆ ทำไมสำเร็จในชีวิตได้...ผมได้สอบถามและทำนายทุกอย่างตามหลัก ศาสตร์พลังงานตัวเลข หรือ เลขศาสตร์ แล้วก็ตรงตามที่ ศาสตร์พลังงานตัวเลขให้ความหมาย ซึ่งผมก็มองว่า ก็น่าจะนะ...เพราะคนๆนั้นเก่งจริง เจอปัญหามาเยอะยังผ่านมาได้

เมื่อผมได้ค้นพบ "จลนลัคน์ศาสตร์" ผมก็เอาหลักการนี้ไปวิเคราะห์เลขของคนเหล่านี้ ปรากฏว่า...เลขแต่ละตัวส่งเสริมเจ้าของเบอร์ชัดๆ...ไม่ว่าจะการงาน การเงิน ลูกน้องบริวาร เพียงแต่วางไม่ถูกหลัก พลังงานตัวเลข เท่านั้น ก็เลยทำให้เกิดโทษในแบบของ หลักพลังงานตัวเลข แต่ก็ยังส่งเสริมให้เขามี การงานที่ดี การเงินที่ดี

ดังนั้น การวางตัวเลขที่ถูกต้องจำเป็นจะต้องวางให้ถูกหลักการทั้ง 2 ศาสตร์ คือ ศาสตร์พลังงานตัวเลข และ จลนลัคน์ศาสตร์ เพื่อที่ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์สูงสุด

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) กับ เบอร์โทรศัพท์ ตอนที่ 2


หลักการจาก ตอนที่แล้ว คือการปรับตัวเรา และ จิตใต้สำนึกเรา ให้เป็นพวกเดียวกับสิ่งที่เราต้องการที่จะเป็น (หากใครยังไม่ได้อ่าน :
กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) กับ เบอร์โทรศัพท์ ตอนที่ 1 กลับไปอ่านก่อนนะครับ ) การที่เราฝึกนึกคิดเป็นภาพบ่อยๆ จะไปกระตุ้นจิตใต้สำนึกของเรา ซึ่งหลับไหลอยู่ จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้หลับหรอกครับ มันทำงานอยู่ตลอดเวลา และมันก็เป็นตัวชักนำเราไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ และประสบการณ์ต่างๆ

จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind) มีความสามารถอย่างมาก มีความสามารถติดต่อกับจักรวาล ซึ่งสามารถดลบันดาลสิ่งที่ต้องการให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็น รถ บ้าน คนรัก และอื่นๆ อีกทั้งจิตใต้สำนึกยังดลบันดาลที่ที่เราไม่ต้องการให้กับตัวเราอีกด้วย เช่น ความยากจน อุปสรรค ปัญหา การหย่าร้าง อุบัติเหตุ ฯลฯ
โดยการทำงานของมันจะตรงไปตรงมา หากเราคิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ และมากๆ เราจะดึงดูดเหตุการณ์นั้นๆเข้ามาในชีวิตของเรา
ดังนั้นถ้าคุณต้องการอะไร ให้คิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ คิดจินตนาการมองให้เห็นเป็นภาพ สิ่งนี้ก็จะถูกส่งเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ

แล้วเกี่ยวอะไรกับเบอร์โทรศัพท์ล่ะ?
เกี่ยวแน่นอนครับ อันดับแรกเราต้องรู้ก่อนว่า โทรศัพท์มือถือ มีคลื่นความถี่อยู่ในตัวมันและปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา และที่สำคัญความถี่คลื่นวิทยุนั้นมีผลต่อสมองอีกด้วย
และความประหลาดคือ เมื่อผู้ใช้ ใช้โทรศัพท์เครื่องนั้นบ่อยๆ หรือ เบอร์นั้นบ่อยๆ ติดต่อกันไปเป็นเวลานาน ผู้ใช้กับมีพลังงานแบบเดียวกับหมายเลขที่เขาใช้ ซึ่งสามารถนำมาทำนายตามหลักพลังงานตัวเลขได้อีกด้วย
โดยการที่มีคลื่นแม่เหล็กแผ่ออกมาตลอดเวลา พลังแม่เหล็กนี้จึงไปกระตุ้นเซลล์สมองส่วนลึกให้สร้างเซลล์ขึ้นมาในรูปแบบพลังงานเดียวกับตัวมัน ซึ่งเซลล์ตัวนี้ก็เข้าไปกระตุ้นการทำงานของ ความคิด และอารมณ์ของผู้ใช้ ซึ่งส่วนที่เป็น ความคิดและอารมณ์ตรงนี้นี่เองที่จะถูกส่งเข้าไปยัง จิตใต้สำนึกของผู้ใช้ และ จิตใต้สำนึกก็จะทำงานตามกฎแรงดึงดูด ดึงดูดสิ่งเดียวกันตามลักษณะเบอร์ของผู้ใช้ มาหาตัวผุ้ใช้เอง
การทำงานของคลื่นแม่เหล็กมีความต่อเนื่องกว่าความคิดและการจินตนาการของเรา เพราะเราจะมีเวลาคิดและจินตนาการได้ในช่วงเวลาสั้นๆช่วงเดียวเท่านั้น แต่คลื่นแม่เหล็กทำงานตลอดเวลาที่เปิดและอยู่ใกล้เรา ดังนั้นเบอร์โทรศัพท์จึงเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ กฎแรงดึงดูด ทำงานได้อย่างดี

ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ชีวิตคุณดีขึ้น จึงควร คิดแต่เรื่องดีๆ จินตนาการแต่เรื่องดี และใช้เบอร์ที่มีความหมายดีๆด้วย เพื่อที่สิ่งดีๆจะได้ถูกดึงดูดเข้ามาหาคุณ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) กับ เบอร์โทรศัพท์ ตอนที่ 1


กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) ในทางจิตวิทยาเราพึ่งได้รู้จักกันแพร่หลายไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากความดังของหนังสือ "The Secret (เดอะซีเคร็ต) ของ Rhonda Byrne (รอนดา เบิร์น)" ซึ่งจริงๆแล้ว กฎนี้ถูกใช้มานานแล้ว อาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เพราะยังมีหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องทำนองนี้ ซึ่งถูกเขียนไว้เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ของ นโปเลียน ฮิลล์ เช่น หนังสือ คิดแล้วรวย หรือ Think and grow rich , The Law of success หรือ หนังสือปรัชญาชีวิตศาสตร์แห่งความสำเร็จ  ซึ่งได้รวบรวมแนวคิดของคนประสบความสำเร็จไว้ กว่า 1,000 คน และรวบรวมไว้เป็นทฤษฎีความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจว่าผู้สำเร็จทุกคนมีส่วนคล้ายกัน คือ จะมีความคิด และ การจินตนาการถึงความสำเร็จอยู่เสมอ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction)

คุณจะได้อะไรจากการใช้หลักการของกฎแรงดึงดูด?
คำตอบคือ...คุณจะได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ หากคุณยังคงเดินตามแนวทางนี้อย่างเคร่งครัด...ไม่ว่าจะเป็น บ้านในฝัน รถในฝัน ฐานะทางการเงิน สุขภาพ หรือแม้แต่คู่ครอง

เชื่อได้รึ?
คำตอบคือ...
ขึ้นอยู่กับคุณ เพราะการทำอะไรโดยปราศจากความเชื่อมักจะทำสิ่งนั้นแบบครึ่งๆกลางๆ เมื่อทำแบบครึ่งๆกลางๆก็จะไม่ประสบความสำเร็จ...
แต่ถ้าหากอยากพิสูจน์ ก็สามารถพิสูจน์ได้ โดยทำเต็มที่เชื่อเต็มที่...และระบุเวลาไว้และพิจารณา

ขั้นตอนการปฏิบัติในการใช้กฏแรงดึงดูด

1. ขอ คือ
การคิดว่าอยากได้อะไร แนะนำให้ขอเพียง 1 ข้อเท่านั้นที่ตอบโจทย์ทั้งหมดของชีวิตคุณ เพื่อที่จิตจะได้จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้ วิธีการขอคือ
  1. การตั้งเป้าหมาย ว่า คุณต้องการอะไร?
  2. เขียนเป้าหมายลงไป หรือ อาจจะทำเป็นภาพความสำเร็จของคุณก็ได้
  3. ติดมันในตำแหน่งที่คุณจะเห็นได้ชัดตลอดเวลา
  4. นั่งดูภาพความสำเร็จนั้นทุกวัน โดยใช้เวลาประมาณ 5 -15 นาทีในการจินตนาการภาพความสำเร็จนั้น   
2. เชื่อ คือ การเชื่อว่าเราจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน
3. รับ คือ ทำตัวเหมือนว่าได้รับสิ่งนั้นแล้ว และรู้สึกว่าได้สิ่งนั้นแล้วจริงๆ และทำตัวในแนวเดียวกับสิ่งที่คุณจะเป็น เช่นคนที่ได้รับสิ่งนี้ควรมีความคิดอย่างไร ทำอย่างไร เวลาเจอปัญหาแก้อย่างไร
และคิดบวก

คิดอย่างไรคือการคิดบวก?
การคิดบวกคือการที่เราคิดว่าทุกอย่าที่เกิดกับชีวิตเราดีหมด...ให้คิดว่าทุกๆวันเราจะเจอแต่สิ่งที่ดี...และเวลาเราเจออะไรมากระทบใจในทางที่ไม่ดีก็ให้หาเหตุผลให้คิดบวกได้เสมอ...โดยถ้าเจอเรื่องที่ไม่ใหญ่มากเราจะหาเหตุผลได้เร็ว...แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ เหตุผลมักจะมาให้เห็นเป็นเดือนหรือเป็นปี


ในตอนต่อไป จะกล่าวถึง กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) กับ เบอร์โทรศัพท์  ว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร?

บทความที่ได้รับความนิยม