บทความแนะนำ

บทความ ศาสตร์แห่งดวงดาว
เบอร์มงคล 100% ผลรวมดี ทั้งคู่ ทำไมคนหนึ่งชีวิตดีแต่อีกคนชีวิตแย่?!?!?
ตัวเลขส่งเสริมการเงินและโชคลาภ
กลุ่มส่งเสริมการเงิน ตัวเลขมหาอุจจ์
กลุ่มส่งเเสริมการเงิน มหาจักร
กลุ่มส่งเเสริมการเงินราชาโชค
กลุ่มแสดงถึงความมั่นคงทางการเงินและรายได้
ตัวเลข ปัญหา/อุปสรรค/ศัตรู
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ความรัก และ คู่ครอง
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ลูกค้าและเพื่อนฝูง
ตัวเลขส่งเสริมเรื่อง ผู้อุปถัมภ์ ความสำเร็จ และ ความรุ่งเรือง
ตัวเลข วินาสน์ (ล่มสลาย,ฉับพลัน,เปลี่ยนแปลง,ที่ลับ,คนแปลกหน้า)
ประสบการณ์ผู้ที่ใช้เบอร์พลังดวงดาวตามลัคนา และมีเงินซื้อรถ 2 คัน บ้าน 2 หลัง
Case Study : เปลี่ยนเบอร์ตามหลักศาสตร์แห่งดวงดาวแล้วขายที่ดินได้ในราคาสูง
แย่แล้ว !!! เบอร์มังกร (789) ทำฉันเป็นหนี้ !!!!
ว่าไงนะ!!! เบอร์หงส์ (289) พ่นพิษ !!! เสียบ้านที่อุตส่าห์ซื้อมา
เบอร์เสน่ห์ตามหลักเลขศาสตร์ VS เลขการเงินตามศาสตร์แห่งดวงดาว
กำลังดวงดาว 9 หมายถึงอะไร?
เบอร์มงคล 10 หลัก ผลรวมดี ทำไมชีวิตฉันจึงลำบาก!!!

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทำบุญได้ผลไว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทำบุญได้ผลไว แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีเพิ่มพลังบุญทวีคูณให้กับชีวิตอย่างง่ายๆ : หลวงปู่ดู่



1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า

-เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่

-ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า

-ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย

-เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย

-เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา


2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่

การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป


3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น

การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง


4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น

การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย


5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น

การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก ) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป 

เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://board.palungjit.org/f130/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%93%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88-572201.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดสำคัญในการสวดมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวิธีเพิ่มพลังบุญให้ตนเอง


การสร้างบุญก่อนการสวดมนต์นั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญและดีมากๆ ด้วย เพราะทำให้เราตัวเราเองมีบุญใหม่ของตนมารวมกับบุญเก่าที่จะน้อมถวายพระพุทธเจ้า "ต้องเป็นคนดี และมีบุญของตนเองเสียก่อน" เรื่องนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญในการสวดมนต์ และสวดคาถาศักดิ์สิทธิ์ทุกบท ที่จะต้องถือว่าเป็นอันดับแรกในการเตรียมตัวที่จะสวดเพื่อให้ชีวิตนั้นรุ่งเรือง ร่ำรวย บำบัดรักษาโรคภัยใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยพลานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดมนต์และคาถานั้น เชื่อว่าหากผู้สวดนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม จะช่วยทำให้คนที่สวดนั้นพบกับความมหัศจรรย์ ในการนำเรื่องดีเข้ามาสู่ชีวิตไม่ขาดสาย จะทำการค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง เงินไหลมาเทมา ครอบครัวก็เป็นสุข


เรื่องการปัดเป่าเคราะห์ร้ายหรือภัยพิบัติในชีวิตให้คลายตัวลงหรือหมดไปประจวบกับกรรมนั้นถึงเวลาอ่อนตัวลง และจะกลายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เรื่องร้าย หรือสิ่งอัปมงคลเสนียดจัญไร เข้ามาในชีวิตได้อีก บทสวดทุกบทในหนังสือเล่มได้มีการ พิสูจน์มาอย่างยาวนานจากครูบาอาจารย์ที่เคยสวดมาแล้ว แต่ที่หลายคนสวดแล้วบอกไม่ได้เหตุผลสำคัญก็คือ ยังเป็นคนดีไม่พอ หรือบุญที่มีนั้นไม่พอที่จะส่งผลดีต่อชีวิตและความปรารถนาให้สำเร็จได้ หรือมีวิบากกรรมบางอย่างขวางเอาไว้ ทำไมถึงพูดว่ายังเป็นคนดีและยังบุญไม่พอเช่นนี้ เพราะการสวดมนต์นั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำกรรมดี เป็นการเพิ่มฤทธิ์ทางใจ น้อมนำพลังฝ่ายดีเข้าสู่ตัวด้วยอำนาจแห่งอักขระ อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในบทสวดมนต์นั้น

แต่อำนาจและคุณความดีเหล่านี้จะเข้าสู่ตัวของผู้สวดไม่ได้เลย หากมีกรรมชั่วภายในสกัดกั้นอยู่มาก อำนาจฝ่ายดีก็ไม่อาจจะแทรกเข้าไปส่งผลได้เลย ครูบาอาจารย์หลายท่านจึงกล่าวตรงกันว่า กรรมดีหรือกรรมขาวนั้นจะไม่สามารถเข้าไปไม่ได้เลย หากมีกรรมชั่วหรือกรรมดำอยู่ในใจ กรรมทั้งสองสิ่งนี้อยู่รวมกันไม่ได้ สิ่งที่สะอาดกับสิ่งสกปรกมันเข้ากันไม่ได้ กรรมชั่วมันจะไปขัดขวางให้สวดไม่ได้ จำไม่ได้แม้แต่จะสมาทานศีล 5 ที่เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคนไทยแต่ก็ทำไม่ได้ หรือทำให้ต้องมีกิจธุระหรือเหตุการณ์มาทำให้สวดมนต์ไม่ได้

เหมือนขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มขวด แม้พยายามจะกรอกน้ำเข้าไปอีกมันก็ล้นเข้าไปไม่ได้ เพราะน้ำในขวดมันดันไม่ให้เข้าไป แต่อานิสงส์ของบุญและพลังศักดิ์สิทธิ์ของการสวดมนต์นั้นก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน แต่ทว่ายังส่งผลไม่ได้จนกว่า กรรมชั่วหรือกรรมดำนั้นจะลดลง จึงจะเข้าไปส่งผลกับชีวิตของเราได้ ดังนั้นก่อนที่จะสวดมนต์ ทำความดีสร้างมงคลสู่ชีวิตนั้น เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ต้องลด ละ เลิกทำความชั่วเสียก่อนในทุกประเภทเพื่อไม่ให้มีกรรมชั่วเพิ่มเติม ในส่วนที่พลาดพลั้งไปแล้วนั้นเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็เหมือนน้ำดำหรือยาพิษที่แทรกอยู่ในน้ำสะอาดที่เคยใส่ลงไป



ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล กรรมดีสร้างได้ใหม่ในทุกวินาที หมั่นสร้างบุญกุศลเหมือนเติมน้ำสะอาดเข้าไปในชีวิตเรื่อยๆ น้ำดำหรือยาพิษนั้นก็จะเจือจางลงไป จนไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ เหมือนกับเวลาที่เรามีบุญมาก เป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมฝ่ายดีมาส่งผล วิบากกรรมฝ่ายไม่ดีก็ไม่มีโอกาสที่แทรกมาส่งผลได้ หรืออาจจะส่งผลได้น้อยมากจนเราไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าอยากจะให้ชีวิตดีต้องเริ่มตั้งวันนี้ วินาทีนี้เลย ถ้าอยากให้ชีวิตดีอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ขอให้มั่นใจและมีศรัทธาอย่างมั่นคงว่า “บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง”

สำหรับคนที่มีวิบากกรรมไม่ดีมาขวางไว้ ทำให้สวดมนต์ไม่ได้หรือจำบทสวดมนต์แม้แต่สั้นๆ ไม่ได้ หรือเจออุปสรรคกรรมขวางไว้ไม่ให้สวดมนต์ได้ ทางแก้ไขก็คือ หมั่นสร้างบุญกุศล อธิษฐานขอให้อานิสงส์แห่งบุญช่วยให้สวดมนต์ได้และต้องอุทิศบุญนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาขวางทางบุญนี้เสีย ทำบ่อยๆ จนเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจ เขาจะหลีกทางให้เราสวดมนต์สร้างบุญกุศลได้ สำหรับท่านใดที่ไม่รู้ว่าต้องเองได้รับวิบากกรรมจากกรรมใด เมื่อไหร่แน่ แต่ส่งผลให้มาขัดขวางในการสวดมนต์ ขอให้สร้างบุญกุศลเป็นของตนเองและอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรแบบเจาะจงว่า

“โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่ขัดขวางการสวดมนต์ ขอให้ท่านมารับบุญกุศลนี้ เมื่อท่านมารับแล้วพอใจในบุญกุศลนี้ ขอให้ท่านถอนตัวจากการขัดขวางการสวดมนต์ด้วยเถิด" หมั่นทำบ่อยๆ แล้วท่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เรื่องนี้พิสูจน์มาแล้ว แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ขอให้เป็นสิทธิ์ของท่าน บุญของท่านเอง

ที่มา : http://horoscope.sanook.com/104657/

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีดึงดูดความร่ำรวย

มิถุนายน 29, 2013 โดย ธ. ธรรมรักษ์

เตรียมตัวร่ำรวยตลอดกาล

ก่อนที่จะพาไปรู้จักเคล็ดบูชาสำคัญ  ที่จะทำให้คุณทุกคนนั้นร่ำรวยได้ จะขอพูดถึงเรื่องสำคัญที่สุดเป็นเรื่องแรก ที่บอกว่าสำคัญที่สุดนั้นหมายความว่า ถ้าคุณไม่ผ่านเรื่องนี้หรือด่านนี้ไปก่อน
วิธีดึงดูดความร่ำรวย

 " บอกได้เลยว่า รวยยากครับ! "


วิธีที่จะดึงดูดความร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมาหาตัวเรานั้น สิ่งที่สำคัญเราต้องเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติดีพร้อมที่จะรับเสียก่อน เราถึงจะรับความร่ำรวยนั้นได้

จะเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ ก็เหมือน ตัวเรานั้นเป็นเครื่องรับโทรทัศน์ การรับคลื่นสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์ได้ เราต้องปรับคลื่นความถี่ให้ตรงกันเสียก่อนถึงจะรับคลื่นนั้นได้

หากตัวเรานั้นมีกำลังคลื่นต่ำ หรือมีกำลังน้อย เราก็ไม่สามารถรับคลื่นเปลี่ยนมาเป็นภาพได้ แบบรับคลื่นได้แต่นำเอามาใช้ไม่ได้ รับเอามาใช้ได้แบบน้อยมากๆ ภาพที่ออกมามันจึงเบลอดูไม่รู้เรื่อง แบบมีคลื่นอื่นรบกวน

ก็เหมือนกับการที่เราจะปลูกบ้านสักหลัง สิ่งที่สำคัญคือ พื้นดินและฐานรากที่มั่นคง ที่มีการเตรียมการณ์อย่างรอบคอบและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในบางคนรู้แต่ทำไม่ได้ เหมือนกับพลังแห่งความร่ำรวย ความโชคดี ความสุขที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเรา อยู่ใกล้ชิดแค่ปลายจมูกเราแท้ๆ แต่เราก็หยิบมาสู่ตนเองไม่ได้ เพราะเราไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ

ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ในอดีต ท่านรู้เรื่องนี้ดี จึงได้สั่งสอนเอาไว้ วิธีที่จะเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติที่จะรับความร่ำรวยได้แบบตลอดกาลมีวิธีการดังนี้


1.สร้างบุญใหม่ให้พอ

เชื่อว่าเราคงเคยได้ยิน คำว่า คนบุญน้อย คนไม่มีบุญ ถึงไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเสียที เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอนตามกฎแห่งกรรม ก็ในเมื่อไม่เคยทำกรรมดีสะสมบุญมา แล้วจะเอาบุญที่ไหนมาทำให้ชีวิตมีความสุขได้ จะเอาบุญจากไหนมาทำให้ร่ำรวยได้ หรือเอาบุญมาช่วยแก้วิบากกรรมที่กำลังเผชิญอยู่ได้ให้คลายตัวลงไป

ทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเหตุและเป็นผลกันเสมอ เมื่อเราหว่านสิ่งใดลงไป เราก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ปลูกอ้อยก็ต้องได้อ้อย จะออกมาเป็นกล้วยนั้นเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เคยทำทาน ไม่เคยทำบุญไม่เคยที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่เคยมีเมตตา กรุณา แล้วจะเอาอะไรมาทำให้รวยได้ มันไม่มีทางเลย

บุญ คือ ต้นกำเนิดของความสุข ความเจริญ

คนทำบุญมามากนั้น จะมีกระแสบุญที่ทำอยู่นั้น จะหมุนเวียนอยู่รอบตัวรอส่งผลให้แก่ผุ้กระทำความดีนั้น อานิสงส์บุญนั้นไม่ได้หายไปไหนไม่ว่าจะทำมาตั้งแต่เมื่อใด เมื่อ 2 ปี ก่อน 10 ปี 30 ปีก่อน บุญยังอยู่ครบถ้วนทั้งสิ้น แต่จะออกผลออกดอกเมื่อใดนั้น อยู่ที่กรรมกำหนดด้วย

เราคงเคยได้ยินเรื่องคนจนที่ถูกหวยรางวัลใหญ่ ที่มีชีวิตที่ยากจนแสนจนแต่ทำไมถึงถูกรางวัลที่หนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาต้องเคยสร้างบุญใหญ่มาก่อนในอดีตชาติแน่นอน แต่ที่เขาเกิดมายากจน ก็เป็นเพราะนอกจากบุญที่เขามีแล้ว เขายังเคยสร้างกรรมที่ไม่ดีหรือความชั่วไว้ด้วย

พอมาในชาตินี้ เมื่อกรรมเก่าได้รับการชดใช้จนลดขนาดลงในการส่งผลในชีวิต ก็เป็นคราวของบุญที่ออกมาแสดงผล ประจวบกับในชาตินี้เขาเพียรสร้างกรรมดีเป็นบุญใหม่ เมื่อบุญเก่ากับบุญใหม่มารวมกัน ก็ได้เรื่อง ผลก็คือ รวยกันเละเทะครับ

แต่ในบางคนการถูกหวยนั้นนำมาด้วยความทุกข์ ต้องหลบต้องซ่อนเพราะมีคนตามมาขอเงินกันวุ่นวาย เรียกว่าเป็น ทุกขลาภ เป็นบุญที่มีวิบากกรมไม่ดีมาส่งผล พร้อมๆ กัน มีกำลังเท่าๆ กัน แต่มีหลายคนที่ถูกหวยแล้วสบายไม่มีใครมาขอแบ่งเงินที่ได้มา เพราะเขามีบุญมากกว่าวิบากกรรมไม่ดี

คนที่จะรวยได้ จำไว้เลยว่าต้องมีทั้งบุญเก่าและบุญใหม่ในชาติ มารวมกัน เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่เกิดมายากจนแสนจนในตอนต้น แต่ไม่ยอมจำนนต่อกรรมเก่าคนแบบนี้มีพื้นฐานที่จะรวยได้ในเวลาอันใกล้

เพราะถึงจะรู้ว่ามีกรรมเก่ามาเล่นงาน แต่ก็ไม่ยอมงอมืองอเท้า รอกรรมเก่ามาเล่นงานฝ่ายเดียว เร่งเพียรสร้างบุญ สร้างความดีอย่างต่อเนื่อง บุญกุศลที่ทำไม่ได้หายไปไหนรอส่งผลอยู่เมื่อ กรรมเก่าคลายลง บุญที่เคยทำมาก็ออกดอกออกผล บั้นปลายเขาถึงร่ำรวยได้ จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด คนพวกนี้ในทางพระเขาเรียกว่า มามืดไปสว่าง

เพื่อความไม่ประมาทนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามสอนให้คนเร่งสร้างบุญของตัวเองให้มากพอ ด้วยการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา

การให้ทานนั้นมีอานิสงส์บุญน้อยกว่าการถือศีล และการถือศีลนั้นได้บุญน้อยกว่าการเจริญภาวนา ในศาสนาพุทธที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์พระศาสดานั้น ได้ทรงสั่งสอนสัตว์โลกไว้ว่า ในการสร้างบุญที่ถูกวิธีนั้น รวมเรียกว่า “ บุญกิริยาวัตถุ 10” ขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ  สั้นๆ ว่าใน 10 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง

1.ด้วยการบริจาคทาน
2.ด้วยการรักษาศีล
3.ด้วยการภาวนา
4.ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
5.ด้วยการช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ
6.ด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น
7.ด้วยความยินดีความดีของผู้อื่น
8.ด้วยการฟังธรรม
9.ด้วยการสั่งสอนธรรม
10. ด้วยการทำความเห็นให้ตรง

ทั้ง 10 ช่องทางนี้เป็นช่องทางแห่งบุญทั้งสิ้น ซึ่งมีโอกาสจะทำได้อยู่ตลอดเวลา มีเพียงข้อแรกข้อเดียวที่ต้องใช้เงินเพราะเป็นการบริจาคทาน เป็นการใช้วัตถุทาน ที่เหลืออีก 9 ข้อนั้นไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว

อยากจะขอแนะนำไว้สักนิดว่า ถ้าอยากจะรวยเร็วๆ ทำตัวเองให้มีบุญมากพอเสียก่อน เหมือนเปิดประตูชีวิตให้กว้างที่สุด เพื่อรองรับเงินทอง ความสุขในชีวิตที่จะไหลเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง

อยากรวยต้องเร่งทำบุญก่อนครับ ไม่มีเงินไม่ต้องกลัว พยายามทำตั้งแต่ข้อ 2-9 ให้ได้ รับรองว่าเตรียมตัวรวยกันได้เลยและยิ่งมีการให้วัตถุทานด้วยแล้วก็จะเร็วขึ้น

เพราะการให้นั้นเป็นหัวใจสำคัญแห่งความรวยจริงๆ  คนที่รู้จักการให้ ยิ่งให้จะยิ่งได้รับตอบแทน เป็นกฎแห่งกรรมและกฎแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เคล็ดลับที่สำคัญในการให้ทานนั้น มีอยู่แค่ 3 ประการที่ทุกคนทำได้ง่ายดายมาก คือ


วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ หมายถึง วัตถุหรือเงินที่ซื้อวัตถุทานนั้น เป็นเงินที่มาจากการทำงานที่สุจริต ไม่ไปเบียดเบียน กรรโชก คดโกงใครมา ยิ่งมาจากน้ำพักน้ำแรง จากความยากลำบากยิ่งจะมีอานิสงส์มากเพราะเจตนานั้นสูงมาก

วัตถุทานนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากที่จะได้บุญมากเสมอไป ขอให้เงินบริสุทธิ์ ที่มาของวัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ แม้เพียงสลึงเดียวก็ได้บุญมากกว่าเงิน 10 ล้านของนักการเมืองที่โกงประเทศชาติมาหรือพ่อค้าที่โกงคนอื่นมา

สำหรับการให้วัตถุทานนั้น มี 3 ประเภทและมีอานิสงส์แตกต่างกันที่เราควรรู้ไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น


ทาสทาน หมายความว่า การให้ของที่เลวกว่าที่เรากิน หรือของที่เลวกว่าที่เราใช้
สหายทาน หมายความว่า การให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่
สามีทาน หมายความว่า การให้ของที่ดีกว่าที่เรากินที่เราใช้อยู่

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องของทาสทาน การทำทานหรือให้ของที่เลวกว่าที่เรากิน หรือเราไม่ใช้แล้ว  ถึงจะมีอานิสงส์แต่ก็อยู่ในความลำบาก ในสมัยพุทธกาล ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ แปดสิบโกฏิ ถ้าเทียบในสมัยก็ประมาณเจ้าสัวใหญ่

พระราชาจึงตั้งเป็นมหาเศรษฐี ที่แปลว่า ใหญ่กว่าเศรษฐีทั้งปวง ทั้งนี้เป็นเพราะในอดีตชาติได้ทำทานไว้มาก แต่น่าเสียดายที่ทานที่แกทำมาตลอดนั้นเป็นของเลว เป็นของที่คัดออกมาแล้วว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากใช้ แกเอาไปทำทาน

ดังนั้นในชาติต่อมา อานิสงส์ของการทำทานนั้น ส่งผลทำให้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินทองมากมายก็จริง แต่ว่าขอโทษที ข้าวที่จะกินเม็ดสวยๆ ก็กินไม่ได้ ต้องกินข้าวหักหรือปลายข้าวจึงจะกินได้ กับข้าวต้องกินแต่ของที่เน่าเสียแล้ว หรือคนแทบกินไม่ได้

ของทุกอย่างที่แกใช้ทุกอย่างต้องเป็นของเลว ผ้าที่นุ่งก็ต้องนุ่งผ้าเก่า ใช้ผ้าใหม่ไม่ได้เลยเพราะมันคันไปหมดนอนไม่ได้ มีความเป็นอยู่ที่ลำบากมากถึงแม้จะมีเงินทองมากมาย

ในบ้านเรา ก็มีเศรษฐีที่ทำทานแต่ของเลวมากมาย ถ้าเราสังเกตดูดีๆ เมื่อไม่นานมานี้ ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีคนรวยคนหนึ่ง มีเงินนับเป็นร้อยๆ ล้าน แต่ชีวิตของแกนั้นเหมือนกับท่านอาฬวีเศรษฐีทุกประการ

มีเงินทองมากมายแต่เป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวมากๆ  ในเกือบทุกวัน คนรวยคนนี้ต้องกินข้าวต้มเม็ดเละๆ จากปลายข้าวที่เหลือจากการขายในร้าน เอามาต้มกินกับก้อนกรวดแช่เกลือ กินอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ไม่มีเงินนะ แต่ไม่ซื้อกิน เพราะใจมันมัวแต่คิดตะหนี่ขี้เหนียว ใจมันเสียดายอยู่ตลอดเวลา ทำให้แกเป็นโรคร้าย เพราะชั่วชีวิตนี้ไม่เคยกินอาหารดีๆ กับเขาเลย

เวลาแกเจ็บป่วยไปนอนโรงพยาบาล ลูกก็อยากให้พ่อได้กินผลไม้ดีๆ ไปซื้อมังคุดกิโลละ 30 บาทมาให้กิน คนรวยคนนี้แม้จะนอนเจ็บพูดแทบไม่ได้ แต่พอแกพอเห็นมังคุดที่ลูกเดินถือเข้ามาเท่านั้น

แกโกรธลูกมาก เหมือนลูกไปทำความผิดอะไรมาใหญ่โต แกด่าเสียเละเทะเลยว่า ไปซื้อมาทำไม เปลืองเงิน ด่าลูกจนลูกร้องไห้ แกด่าว่าโง่เหมือนควายใช้เงินไม่เป็นทั้งๆ ที่ลูกนั้นตั้งใจดีเห็นพ่อป่วย อยากจะซื้อผลไม้ดีๆ มาปอกให้พ่อได้กินชื่นใจ

คนรวยแบบนี้มีเงินมากก็จริง แต่ทั้งชีวิตไม่ได้รับสิ่งดีๆ เลย มีเงินเหมือนมีเศษกระดาษ มีทองเหมือนเป็นก้อนหิน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทาสทาน คือ แกเคยทำทานด้วยของไม่ดีมาก่อนนั่นเอง

ดังนั้นจะขอแนะนำว่าเวลาที่จะทานควรพิจารณาในเรื่องนี้ด้วยว่า เราให้ของที่ดีที่สุด ประณีตเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้นหรือไม่

ผู้ให้บริสุทธิ์ หมายถึง คนที่ให้มีเจตนาบริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังการให้ ไม่คิดหวังผลตอบแทน ประเภททำบุญสิบบาทหวังถูกหวย 10 ล้าน ก็จะยากสักหน่อย เพราะหวังผลตอบแทน กิเลสตรงนั้นที่เกิดขึ้นจะเป็นลดทอนบุญที่ควรจะได้ลงไป เป็นอุปสรรคมาขวางทางบุญไว้

ที่บอกว่าเวลาที่ทำบุญแล้วควรทำใจให้สบาย ทั้งก่อนให้ทานนั้น หมายความว่า เรามีความตั้งใจที่จะทำบุญ เพื่อเผื่อแผ่ผู้อื่นให้มีความสุข เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นหลักชัยในการสั่งสอนคนให้ดี

กำลังให้ทานนั้น ใจของเราต้องไม่คิดอะไรไปวุ่นวาย บางคนกำลังให้ทาน จะชอบคิดสงสัยหรือวิตกว่า ของที่เรากำลังให้นั้นสมควรที่ผู้รับจะได้ไปหรือไม่ คิดว่าเขาจะเอาไปทำอะไร คิดมากจนจิตมันส่าย แทนที่จะนิ่งเพื่อให้ทานนั้นสำเร็จ เกิดบุญ กลับกลายเป็นว่าไปลดทอนกำลังบุญเสีย

และหลังการให้ทาน ไม่ควรเสียดาย หรือมีใจคิดฟุ้งซ่านไปอีก ประเภท ของที่เราให้ไปเมื่อตะกี้จะถึงวัด เขารับไปแล้วจะถึงวัตถุประสงค์ของเราหรือไม่ อย่าไปคิดแบบนั้น เมื่อให้ไปแล้วก็จบกันไป ถือว่าให้ขาดไปเลย

การอธิษฐานหลังทำบุญนั้นก็สำคัญ ควรที่จะอธิษฐานไปในทางดี เพื่อให้เรามีความสุข ความขัดข้องอุปสรรคต่างๆ  ความไม่มี ความขัดสน อย่าเกิดในชีวิตก็พอ อย่าไปอธิษฐานแบบมีข้อแม้แบบขอไปด้วยในตัว

ประเภทว่า ขอให้บุญนี้ส่งผลให้ถูกหวย ส่งผลให้สอบได้ ส่งผลให้ขายนั่นขายนี่ได้ เจาะจงลงไปอย่างนั้นอย่างโน่น ตกลงเรามาทำบุญเพื่อละกิเลส สร้างกำลังใจที่จะเพียรทำความดี หรือมาทำบุญเพื่อการลงทุนกันเพื่ออะไรกันแน่

ขอแนะนำว่า ขอให้เพียรทำความดี ให้ทานโดยไม่หยุดยั้งเท่าที่เราจะทำได้  เมื่อถึงเวลาบุญจะทำหน้าที่ตามเหตุและปัจจัย บุญนั้นจะส่งผลให้เราอัศจรรย์ใจแน่นอน มีตัวอย่างมามากมาย


ผู้รับนั้นบริสุทธิ์ คือ ผู้รับนั้นยิ่งมีศีล เป็นคนดี บริสุทธิ์ มีความชอบธรรมมากเท่าใด บุญที่เราให้ก็จะเกิดผลมากขึ้นเท่านั้น ผู้รับที่บริสุทธิ์มาก เรียกว่า เป็นคนที่มีเนื้อนาบุญสูง สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับ สำคัญที่จะทำให้เรามีความสุข ความเจริญ นำความร่ำรวยมาสู่ชีวิตได้ แบบยิ่งทำยิ่งรวยแน่นอน

ขอให้พึงสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง คนรวยนั้นทำไมมักชอบทำบุญกับพระผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพกราบไหว้มากมาย  ก็เพราะเขารู้ว่า ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ที่มีเนื้อนาบุญสูง พระผู้ใหญ่เหล่านี้เมื่อรับทานมาแล้ว ท่านจะรีบไปสร้างบุญต่อ ทั้งสร้างโรงพยาบาล สร้างวัด หรือสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ สงเคราะห์คนหมู่มาก บุญนั้นก็ออกดอก ออกผลมากขึ้น

และผู้ที่ทำทานก็จะได้บุญมากขึ้นๆ เพราะ ทุกคนที่มาใช้บริการนั้น เขาจะรู้สึกขอบคุณ มีการโมทนาบุญนั้นตลอดเวลา จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้านไม่รู้จบ ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า บุญงอกออกมา

หลายคนบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านไหนมีเนื้อนาบุญสูง ท่านไหนบริสุทธิ์แค่ไหน ขอให้ดูที่วัตรปฏิบัติของท่านเป็นสำคัญ หรือถ้าไม่รู้ หรือไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญกับท่าน แต่อยากได้บุญมากมีวิธีแบบง่ายๆ แต่ได้ผลเลิศ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า  "เวลาที่เราใส่บาตร ทำสังฆทานหรือทำบุญด้วยวิธีใดนั้น ขอให้อธิษฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าไปเลย พระสงฆ์ที่ท่านกำลังรับนั้น ท่านเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ เราทำบุญกับพระพุทธเจ้าโดยตรง อานิสงส์ของบุญนั้นจะมากมายขนาดไหน ลองนึกเอา"

นอกจากตัวเราเองเป็นผู้ทำบุญแล้ว การที่เราเป็นผู้ที่ชอบชักชวนผู้อื่นให้ทำบุญนั้น ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้มีบุญมาก และร่ำรวยมากขึ้นได้เพราะการชักชวนผู้อื่น กลายเป็นเครือข่ายของกัลยณามิตร ที่จะช่วยส่งเสริมกันและกันในทางดีทุกวิธีทาง

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนไว้ ในเรื่องของการทำบุญไว้ว่า

“บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไปจะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวารสมบัติ

ถ้าดีแต่ชักชวนเขาไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน

ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย”

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ลองพิจารณาดูก็ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ลองสังเกตคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราว่าเป็นอย่างที่พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสเอาไว้หรือไม่

ประเภทรวย แต่ไม่มีเพื่อนเคยเห็น เคยได้ยินได้เห็นมาหรือไม่

ประเภทเพื่อนเยอะ แต่จนแสนจน มีหรือไม่

ประเภททั้งรวย ทั้งมีเพื่อนมากมาย ทำอะไรทีก็มีคนมาช่วย เพราะรู้จักคนเยอะ

ในบรรทัดสุดท้ายนั้นสำคัญมาก ขอให้เราลองมาพิจารณากันดู ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย เรื่องนี้นั้นสำคัญมาก เพราะสายใยแห่งบุญที่เชื่อมคนที่ทำบุญร่วมกันมานั้น จะทำให้การทำงานใดๆ การค้าขายใดๆ นั้นสำเร็จได้โดยง่าย เพราะมีบุญกลุ่มหนุนนำอยู่

เปรียบเหมือนกับกระแสน้ำ ถ้าไหลมาจากที่เดียวนั้น อาจจะมีพลังน้อย แต่ถ้าไหลมาจากหลายสายรวมกัน ก็จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครต้านทานได้ วิบากกรรมไม่ดีที่มีกำลังน้อยกว่า ไม่มีทางต้านได้เลย เมื่อไม่มีอุปสรรคขัดขวาง งานที่ทำนั้นก็เกิดผลดีได้ง่ายดาย

ในบริษัทใหญ่หรือองค์กรใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการทำมาค้าขายนั้น ขอให้สังเกตกันเถอะว่า คนในบริษัทนี้ชอบทำบุญกันทั้งนั้น เวลาไปทำบุญกันทีจะไปหรือทำกันเป็นหมู่คณะ บุญที่ได้จึงเป็นบุญกลุ่มที่ใหญ่และส่งผลได้มาก อานิสงส์บุญนั้นเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ทำให้บริษัทหรือองค์กรนั้น เจริญขึ้นแบบรวดเร็ว รวยเอาๆๆ

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า เราควรสร้างบุญอย่างใดดี ก็เร่งพิจารณาเอาเองว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวย มีความสุข มีพวกพ้องมากมาย ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตนนั้นปรารถนา ควรทำบุญด้วยของที่ดี ทำทานให้ครบทั้ง 3 ประการและชักชวนคนอื่นมาร่วมสร้างบุญด้วยกัน

อยากจะเป็นคนที่มีความสุขและร่ำรวยตลอดกาล ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน  เป็นคนดี หมั่นสร้างบุญกุศล เรื่องของกรรมเก่า ชาติเก่านั้นเราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้าง และจะต้องไปตามแก้กันอย่างไร

ซึ่งที่จริงแล้ว กรรมนั้นแก้ไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วต้องส่งผลแน่นอน ที่บอกกันว่าไปแก้กรรมนั้น เป็นเรื่องเข้าใจกันผิดๆ และเป็นการเล่นคำที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

ขอให้เข้าใจด้วยว่า ที่บอกว่าแก้กรรมได้ ในความเป็นจริงก็คือ การไปขออโหสิกรรมเพื่อให้กรรมนั้นยุติการส่งผลหรือเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา  เมื่อเจ้าหนี้หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจได้รับการชดใช้หรือใจดี เพราะเห็นเราสำนึกผิด ทำความดี ทำบุญไปให้เขา เขาก็ยกโทษหรือลดโทษให้

แต่ยังคงได้รับเศษเวรเศษกรรมอยู่ดี จากที่น่าจะตายก็เหลือเพียงแขนหัก ขาหัก น่าจะไฟไหม้หมดตัว ก็เหลือเพียงไหม้แค่ห้องครัว น่าจะต้องสูญเสียคนที่รัก ก้เหลือเพียงเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

กรรมบางกรรมที่ไม่ใช่กรรมหนักนั้น ชาตินี้อาจจะไม่ส่งผลเลยก็ได้ ที่ไม่ส่งผลนั้นในชาตินี้ มีหลายสาเหตุ แต่ที่แน่ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า บุญใหม่ที่เราทำในชาตินี้ มีอานิสงส์ มีกำลังมากกว่า ทำให้วิบากกรรมเก่าที่ไม่ดีส่งผลไม่ได้หรือที่เรียกว่า สร้างบุญใหม่หนีกรรมเก่านั่นแหละ

ขอให้คิดว่า ชาติเก่าเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เราไม่รับรู้แล้ว มันจบไปแล้วไปแก้ไขอะไรไม่ให้มันเกิดไม่ได้แล้ว   เอาชาตินี้ ชาติที่เห็นกันชัดๆ ดีกว่า อย่ายอมจำนนต่อกรรมเก่า เร่งสร้างกรรมดี สร้างบุญ ให้ส่งผลให้เห็นกันเลยในชาตินี้ จงจำไว้เสมอว่า


คนมีบุญเท่านั้นที่จะรวยได้เท่านั้น 
ที่มา : https://torthammarak.wordpress.com/2013/06/29/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

10 วิธีสวดมนต์ ที่ทำแล้วชีวิตจึงดี มีสุข (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)


1. ก่อนสวดให้เลือกเวลาและสถานที่ที่จะมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด เช่น ห้องนอนของตัวเองในเวลาก่อนนอน, ห้องนอนของตัวเองในเวลาตื่นนอน ไม่จำเป็นต้องไปถึงวัดก็ได้ “เพราะการทำดี ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเลือก ไม่ต้องรอ”

2. เคลียร์ความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่งที่สุด อะไรที่ทำให้คิดมาก จิตตก รู้สึกแย่ อาฆาตพยาบาท โกรธเคือง โยนทิ้งออกไปก่อนชั่วคราว “การสวดมนต์เพื่อหวังจะลบความรู้สึกแย่ในใจ ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น” เพราะมันจะเหมือนกับเศษตะกอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้เติมน้ำที่กลั่นมาใสสะอาดเท่าไหร่มันก็ยังขุ่นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่พร้อมจะสวดจริง ๆ อย่าเพิ่งสวด

3. ความยาวของคาถาไม่ได้การันตีว่าชีวิตจะดีขึ้นจริง ๆ เอาแค่เซตคาถาที่พอจูนสมาธิให้กับตัวเองได้สัก 3-5 นาทีเป็นอย่างต่ำ เช่น สวดอะระหังสัมมาฯ+คาถาชินบัญชร, สวดอะระหังสัมมาฯ+อิติปิโสฯ+พาหุงฯ+ชินบัญชร สุดแท้แต่ที่จะเลือกมาสวด คาถาไหนก็ได้ความหมายที่ดีทั้งนั้น

4. ต่อให้คาถานั้นมีความหมายถึงลาภยศสรรเสริญอยู่จริง “อย่าโฟกัสให้จิตจ้องลาภ” เพราะนั่นเท่ากับว่าเราหมกมุ่นยึดติดกับเงินทองมากเกินไป ควรโฟกัสที่การใช้เวลาสวดไปเพื่อการจูนสมาธิและจิต ให้ว่างเปล่า บริสุทธิ์ พร้อมจะคิดอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ เพิ่มขึ้นมาได้ (คิดดี ทำดี เป็นรากฐานก็การได้รับสิ่งดี)

5. นั่งในท่าที่สบาย ขัดสมาธิก็ได้ พับเพียบก็ได้ แต่ก็ให้เป็นท่าที่สามารถอยู่นิ่งได้นาน ไม่ปวดทรมาน ไม่เหน็บชา จนต้องขยุกขยิกบ่อย ๆ ให้เสียสมาธิ

6. เคล็ดลับการนั่งสวดมนต์ (ไปจนถึงนั่งสมาธิ) นาน ๆ ก็คือ ควรนั่งให้หลังตรง ไม่ค่อมตัว ไม่แอ่นตัว เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่งพร้อมรับลมหายใจที่ไหลเวียนได้สะดวก (ออกซิเจนมีผลต่อระบบร่างกายเรา หากไม่ได้รับในปริมาณที่เพียงพอ เพียงแค่เรานั่งผิดองศา เราจะง่วงซึม ปวดเมื่อย รู้สึกมึน)

7. ผลพลอยได้จากการนั่งหลังตรง ไม่เพียงแต่สมาธิที่ดี แต่ยังได้บุคลิกภาพที่สง่างามด้วย

8. ในขณะที่สวดมนต์จะเปล่งออกเสียง หรือพูดแบบกระซิบก็ได้ “ขอให้ปากได้ขยับตามบทสวดแบบชัดถ้อยชัดคำ” อย่าบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์เหมือนเด็กหัดพูด เพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังสวดมนต์อยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันนี้ จิตไม่ได้ล่องลอยไปไหน (ในทางความเชื่อ การสวดให้ชัดถ้อยชัดคำ ก็เพื่อให้พระท่านรับรู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารอะไร ท่านจะได้ประทานพรได้ถูก แต่ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยา เสียงที่เปล่งออกมา ปากที่ขยับ มันคือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันที่สุด)

9. สวดมนต์แล้วอย่าลืมนั่งสมาธิเพื่อภาวนา แผ่เมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และสิ่งที่มองไม่เห็น ใครหรืออะไรก็ตามที่มีผลต่อชีวิตเรา ทั้งในด้านดีและด้านร้าย ทั้งในด้านที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู ขอให้พยายามนึกเรื่อย ๆ … กล่าวขอบคุณ, ขอโทษ และให้อภัยพวกเขาในขณะที่หลับตา (ในทางพุทธศาสนา คือ การนึกถึงเรื่องเวรกรรมบาปบุญ สร้างบุญให้กับตนเองและผู้อื่น แต่ในทางจิตวิทยา คือ การชำระจิตให้สะอาดกว่านี้ ไม่ให้รู้สึกว่าติดค้างอะไร แถมยังได้กำลังใจจากการนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ อีกด้วย)

10. หลังจากสวดมนต์จบแล้ว พยายามตัดนิสัยไม่ให้ตัวเองผิดศีล 5 ถ้าเป็นเวลานอน (สวดมนต์ก่อนนอน) สวดมนต์-นั่งสมาธิแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็รีบนอนเลย อย่าประวิงเวลาแม้กระทั่งเช็คเฟส เช็คไลน์แค่นาทีเดียว เพื่อให้นอนฝันดีที่สุดจากจิตที่เพิ่งชำระสะอาดมาหมาด ๆ

ถ้ายังต้องมีกิจกรรมอื่นหลังจากสวดมนต์-นั่งสมาธิจบแล้ว เช่น จะต้องออกไปทำงาน, ออกไปข้างนอก หรืออะไรก็ตาม ให้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ผิดศีล 5 เลยภายในกี่ชั่วโมงก็ว่ากันไปตามแต่สะดวก อาจพัฒนาจากไม่กี่ชั่วโมงเป็นทั้งวันได้ยิ่งดี (ในทางความเชื่อ ก็เหมือนกับว่าถ้าเราอยากจะได้สิ่งดี อยากให้พระท่านประทานพร เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็นก่อนว่าเราจะทำดีจริง ๆ โดยมีศีล5กำกับ แต่ถ้าในทางจิตวิทยามันก็คือการดัดนิสัยตัวเองให้ได้รับพลังบวกมาก ๆ จากการทำดี คิดดีให้มากนั่นเอง)

เลือกปฏิบัติกันได้แล้วแต่คุณจะสะดวก อาจจะไม่ทุกวัน แต่ขอให้สม่ำเสมอจนเป็นนิสัย … สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี ผลตอบแทนที่ดี เราเริ่มได้จากตัวเรา

ที่มา : share-si.

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีกรวดน้ำ (ที่ถูกต้อง)



การกรวดน้ำ คือ การตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้ทำไว้แล้วไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วพร้อมทั้งรินน้ำให้ไหลลงไปที่พื้นดินหรือที่รองรับ แล้วเอาไปเทที่พื้นดินอีกต่อหนึ่งหรือรดที่โคนต้นไม้ก็ได้ เพื่อให้จำง่ายไม่สับสน จึงขอแยกเป็นข้อๆ ดังนี้

1. การกรวดน้ำมี 2 วิธี คือ

กรวดน้ำเปียก คือ ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
กรวดน้ำแห้ง คือ ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนมอธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้

2. การอุทิศผลบุญมี 2 วิธี คือ

อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น ชื่อพ่อ แม่ ลูก หรือใครก็ได้
อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆกันไป เช่น ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น ทางที่ถูกควรทำทั้งสองวิธี คือผู้ที่มีคุณหรือมีเวรต่อกันมาก เราก็ควรอุทิศเจาะจง ที่เหลือก็อุทิศรวมๆ

3. น้ำกรวด

ควรเป็นน้ำที่สะอาด ไม่มีสีและกลิ่น และเมื่อกรวดก็ควรรินลงในที่สะอาดและไปเทในที่สะอาด และที่สำคัญ อย่ารินลงกระโถนหรือที่สกปรก

4. น้ำเป็นสื่อ - ดินเป็นพยาน

การกรวดน้ำมิใช่จะอุทิศไปให้ผู้ตายกินน้ำ แต่ใช้น้ำเป็นสื่อและใช้แผ่นดินเป็นพยาน
ให้รับรู้ในการอุทิศส่วนบุญ

5. ควรกรวดน้ำตอนไหนดี ?

ควรกรวดน้ำทันทีในขณะที่พระอนุโมทนาหรือหลังทำบุญเสร็จ แต่ถ้าไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่า ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

- ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ย่อมได้รับในทันที

- การรอไปกรวดที่บ้านหรือกรวดภายหลัง บางครั้งก็อาจลืมไป ผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็ชวดไปด้วย

6. ควรรินน้ำตอนไหน ?

ควรเริ่มรินน้ำพร้อมกับตั้งใจอุทิศ ในขณะที่พระผู้นำเริ่มสวดว่า “ยะถาวาริวะหาปูรา...”
และรินให้หมดเมือ่พระว่ามาถึง “…มะณิโชติระโส ยะถา...” พอพระทั้งหมดรับพร้อมกันว่า
“สัพพีติโย วิวัชชันตุ...” เราก็พนมมือรับพรท่านไปจนจบ จึงจะถือว่าถูกต้อง

7. ถ้ายังว่าบทกรวดน้ำไม่เสร็จ จะทำอย่างไร ?

ก็ควรใช้บทกรวดน้ำที่สั้นๆหรือใช้บทกรวดน้ำย่อก็ได้ เช่น “อิทัง โน ญาตีนังไหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขออุทิศส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ .... (ออกชื่อผู้ล่วงลับ) .... และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”

หรือจะใช้แต่ภาษาไทยอย่างเดียวก็ได้ว่า “ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนี้ จงสำเร็จแก่ พ่อ แม่ ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณเจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับส่วนบุญกุศลครั้งนี้โดยเร็วพลัน และโดยทั่วถึงกันเทอญ” ส่วนบทยาวๆ เราควรเอาไว้กรวดส่วนตัว หรือกรวดในขณะทำวัตรสวดมนต์รวมกันก็ได้

ข้อสำคัญ ถ้าเป็นภาษาพระ ควรจะรู้คำแปลหรือความหมายด้วย ถ้าไม่รู้ความหมาย
ก็ควรใช้คำไทยอย่างเดียวดีกว่า เพราะป้องกันความโง่งมงายได้

8. อย่าทำน้ำสกปรกด้วยการเอานิ้วไปรอไว้

ควรรินให้ไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ และไม่ควรใช้วิธี เกาะตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นทางเหมือนเล่นงูกินหาง ถ้าเป็นในงานพิธีต่างๆ ให้เจ้าภาพหรือประธาน รินน้ำกรวดเพียงคนเดียวหรือคู่เดียวก็พอ คนนอกนั้นก็พนมมือตั้งใจอุทิศไปให้

9. การทำบุญและอุทิศส่วนบุญ

ควรสำรวมจิตใจ อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน ปลูกศรัทธา ความเชื่อ
และความเลื่อมใสให้มั่นคงในจิตใจ ผลของบุญและการอุทิศส่วนบุญย่อมมีอานิสงค์มาก
ผลบุญที่เราอุทิศไปให้ ถ้าไม่มีใครมารับก็ยังคงเป็นของเราอยู่ครบถ้วน ไม่มีผู้ใดจะมาโกงหรือแย่งชิงไปได้เลย

10. บุญเป็นของกายสิทธิ์

ยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งตระหนี่ยิ่งน้อย ยิ่งอุทิศให้คนอื่นหมดเลยเราก็ยิ่งจะได้บุญหมดเลย

ที่มา : http://board.palungjit.org/f8/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3-10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A3-567642.html

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีแก้กรรม/ลดกรรม ด้วยวิธีใส่บาตรให้ถูกวิธี โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์ ( หลวงพ่อจรัญ )


“ท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์ ( หลวงพ่อจรัญ ) ท่านแนะนำว่า …
ก่อนใส่บาตร…
ให้จุดธูป 3 ดอกกลางแจ้ง ขอขมากรรม โดย ตั้ง นะโม 3 จบ...แล้วกล่าวว่า...
"ข้าพเจ้าขอขมากรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู หมู่มาร หมู่พาล ทุกภพทุกชาติ ขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกัน"

หลังใส่บาตรเสร็จ…
ทุกครั้ง ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า...
"กุศลที่ลูกได้ทำแล้ว ขอถวายแด่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์ นำส่งบุญให้ข้าพเจ้า มีเดช ปัญญา โภคะ ขอให้สมหวัง สมปรารถนาทุกเรื่อง ขอให้มีบุญบารมีเต็มขั้น เกิดสภาวะธรรม ตามบุญวาสนาที่ได้ทำมา จากทุกภพทุกชาติโดยเร็วเทอญ และ ขออุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพทุกชาติ (วิญญาณ) ศัตรูหมู่มารหมู่พาล (เช่น มนุษย์,หุ้นส่วน,เพื่อน,ในครอบครัว) ทุกภพทุกชาติ (เอ่ยชื่อได้ยิ่งดี) ขอให้อโหสิกรรม ขอให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้ เทอญ...ขอให้อุปถัมภ์ค้ำจุนข้าพเจ้า..."

ถ้าทำบุญด้วยข้าวสารเป็นกระสอบ หรือ ถมทราย ดิน ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า …
 "ผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย เหมือนเมล็ดข้าวสาร เม็ดทราย ดิน เจ้ากรรมนายเวร ตามเมล็ดข้าวสาร ตามเม็ดทรายดิน ขอให้ได้รับ และขอให้อโหสิกรรม หลุดขาดจากกัน ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้ข้าพเจ้า มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่ ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู..."

กรณีที่ดวงตกมาก
ขอให้แผ่บุญให้ตนเอง ให้มาก ๆ บางท่านก็แผ่ให้ผู้อื่น จนลืมให้ตัวเอง ตัวเราเอง ต้องมีบุญบารมี แก่กล้า จริง ๆ จึงจะช่วย และให้ผู้อื่นได้ ควรสวด อิติปิโส ฯ เลยอายุ 1 จบมีเวลาขอให้ไป ปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสสนาด้วย จะเกิดผลเร็ว โทสะจะน้อยลง ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ 10 – 30 ครั้ง การแผ่เมตตาที่ได้ผลนั้น ท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ) แนะนำว่า...
 " ถ้าจะกรวดน้ำ ต้องกรวดน้ำลงดิน ทุกครั้ง วันละ 100 ครั้ง เจ้ากรรมนายเวรจะหาย 100 เท่า 100 วิญญาณ หรือ ใช้สมาธิกำหนดอธิษฐานจิต ด้วยความตั้งใจ ประกอบด้วยความมีสติ และสัมปชัญญะ แผ่เมตตาออกจาก ลิ้นปี่ แล้วอุทิศส่วนกุศล จากจักระ 6 หรือบริเวณตาที่สาม ที่กลางหน้าผาก ต่ำลงเล็กน้อย จะได้ผลมากขึ้น อุทิศบุญ ใช้กับผู้ตาย นำส่งบุญ ใช้กับผู้ยังมีชีวิตอยู่ ถวายบุญกุศล ใช้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้กรรมให้ตนเองได้ผลดีเร็วขึ้น.. "

วิบากกรรมของแต่ละคน ล้วนแตกต่างกันไป บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนตกงานบ่อย บางคนลำบากมาก หากินไม่คล่อง บางคนลูกเกเร วิบากกรรมนี้ ตามมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งมีส่วนทำให้เรา เกิดมาแตกต่างกัน แต่ อย่าเพิ่งสิ้นหวัง หนทางในการบรรเทาวิบากกรรมนั้นมี ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
เวลาที่เราทำบุญ หรือทำความดีทุกครั้ง นอกจากบุญที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น การใส่บาตร การถือศีล ฯลฯ แล้วการพูดคุยที่ช่วยให้ผู้อื่นสบายใจ การสนทนาธรรม การให้ธรรมทาน การร่วมบริจาค หนังสือธรรมะ ชี้แนะแนวทาง แก้ไขปัญหาชีวิต ให้กับผู้สิ้นหวัง การทำความสะอาดห้องพระ การถวายน้ำเปล่าเพียง 1 แก้ว ให้กับหิ้งพระพุทธฯ การร่วมอนุโมทนา การทำความดีของผู้อื่น โดยการใช้ จิตน้อมไปทางบุญกุศล การกวาดใบไม้ ทำสวน ทำความสะอาด ห้องน้ำ หรือของส่วนรวม การดูแลคนแก่ เด็ก การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้น

ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ …
" ข้าพเจ้า (บอกชื่อตัว) นามสกุล เกิดวันที่ วันนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก รวมถึง องค์เทพ องค์พรหม ที่ปกปักรักษากายสังขารวิญญาณลูกอยู่ วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย (บุญที่ทำ เช่นใส่บาตร ถือศีล สวดมนต์ ให้ทาน ฯลฯ) ลูกขอถวายบุญกุศลนี้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้น ทั้งการงานการเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญาโภคะ (ความสมบูรณ์) ทุกภพทุกชาติ และขออุทิศบุญกุศลนี้ ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมา ทุกผู้ทุกคน ศัตรูหมู่มารหรือหมู่พาล คือมนุษย์ เช่น บริวาร ญาติมิตร คนรับใช้ สามี บุตร ธิดา ทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุศลนี้ รับแล้วขอให้อโหสิกรรม ซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้า มีบุญบารมีสูงขึ้นๆ เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิด ปัญญาทางธรรม สมบูรณ์พูนผลทุกอย่าง ด้วยบุญที่ทำนี้เทอญ สาธุ.."

บทความที่ได้รับความนิยม